A Blogger by Beamcool

บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ การตลาด seo และ วิธีการ หาเงิน บน อินเตอร์เน็ต เทคนิคในการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต ( เราหมายถึงการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต จริง ๆ ที่ไม่ใช่การชวนเข้า mlm แต่อย่างใดครับ) รวมถึง บริการออนไลน์ ออฟไลน์ ต่าง ๆ ในเครือ Wittybuzz ไว้ด้วยกัน ใครที่เยี่ยมชมนี้ด้วย Internet Explorer แนะนำให้ดาวโหลด Firefox มาใช้จะดีกว่าครับ นอกจากลูกเล่นจะมีเยอะกว่า ยังมีเครื่องมือที่สนับสนุน SEO อีกด้วยครับ


กระบวนท่าที่ 5 : โกงเค้าเราเจ็บเอง (SEO Spamming Avoidance)

หากคุณคิดจะใช้วิชามารทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจเพื่อให้่ติดอันดับ ลองพิจารณากระบวนท่านี้ดูหน่อยเป็นไง เพราะวิชามารที่คุณทำ อาจทำให้่คุณกระอัก ธาตุไฟเข้าแทรก บางที อาจต้องรักษาเป็นเดือน ๆ ๆ ๆ..

กระบวนท่าที่ 6 : ติดแล้วต้องหมั่น track (tracking your website)

ลงทุนฝึกวิชาทั้งที ก็ต้องการเห็นผลลัพท์ว่าให้คนเข้าเว็บเรามากขึ้น รู้จักเว็บเรามากขึ้น ใช่จะทำแล้วทิ้ง กระบวนนี้จะสรุปวิธีการเช็คว่า ทำไปแล้วผลดีไม่ดี ได้ผลตามต้องการมั้ย มีคนเข้าเว็บมากขึ้นมั้ย

กระบวนท่าที่ 7 : หมั่นคอย ดูแล และรักษาอันดับ(ฮัมเป็นของเพลงพี่เบิร์ด..ก้อได้..)(Maintain ranking)

ทุกวินาที มีเว็บไซต์มากมายอยากเป็นเจ้ายุทธภพเช่นคุณ เผลอนิดเดียวคุณมีสิทธิตกบัลลังก์ได้ ฉะนั้น กระบวนนี้สมควรอ่านอย่างยิ่ง สำหรับ กระบวนท่าทั้งหมดจะทะยอยลงกระบวนท่าละตอน และผู้เขียนหวังว่ากระบวนยุทธ์์ทั้งหมด จะช่วยให้ท่านมีความรู้ในการทำ SEO ด้วยตัวเองมากขึ้น และนำไปปฏิบัติให้ได้ผลตามที่ต้องการมากขึ้นเช่นกัน


7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาค 1)

7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาค 2)
7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาคจบ)


กระบวนท่าทั้ง 7 นี้จะประกอบด้วย

กระบวนท่าที่ 1 : รู้เขา รู้เรา รบมิรู้พ่าย (website Analysis and SEO Plan)


จะว่าด้วยเรื่องการศึกษาวิเคราะห์เว็บไซต์ทั้งของเราและของคู่แข่ง รวมทั้งวางแผนด้านการทำ organic search optimization สำหรับ Google เพื่อไม่ให้ตกอันดับในหน้าแรกของผลการค้นหา

กระบวนท่าที่ 2 : เลือก Keyword ผิดคิดจนตัวตาย(Keyword Selection)

จะว่าด้วยเรื่องการเลือก keyword ซึ่งจะช่วยให้ท่านเลือก keyword ที่จะใช้ทำ SEO ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

กระบวนท่าที่ 3 : หน้าตาแบบนี้หนูชอบ(On-page Optimization: copywriting & web design)

บอกเล่าถึง เนื้อหาบนเว็บและหน้าตาของเว็บเพจที่ google ชอบและไม่ชอบ เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า "คบคนให้ดูหน้า ล่าตำแหน่งให้ดูเนื้อ(หา)" จะปรับแต่งเว็บทั้งทีก็ให้ต้องใจหนู Google เค้าหน่อย

กระบวนท่าที่ 4 : คบเพื่อนดีไว้ไม่เสียหลาย (Off-page Optimization หรือ Link Building)

ว่าด้วยเรื่องคบเว็บพันธมิตร เพื่อเพิ่ม link popularity ที่มีความสำคัญต่อการติดอันดับของเว็บคุณอย่างมาก

ต่อคราวหน้าน่ะจ๊ะ

7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาค 1)

7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาค 2)
7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาคจบ)


เราจะเริ่มนำเสนอวิธีการที่จะทำให้ท่านไม่ตกหล่นชื่อ URLของท่าน ไปจาก สารบบ Google(Google Indexing) ซึ่งปัจจุบัน กว่า 47 % ของผู้ใ้ช้เน็ตค้นหาข้อมูลก็ต้องพึ่งเว็บนี้เป็นประจำจากการสำรวจของ Nielsen//NetRatings เมื่อเดือนก.ค.48 และ กว่า 90 % ของคนไทยที่ใช้เน็ตก็แวะเวียนไปใช้บ่อยเช่นกัน ก้อแน่ล่ะนึกอะไรไม่ออก Google ไว้ก่อนแหละนะ บางท่านอาจสงสัย ไหงเราถึงให้แค่ 7 กระบวนท่า ทั้งที่วิธีการทำ SEO มีตั้งมากมายหลายกระบุง เอ๊ะ! มันจะมั่วอ๊ะปล่าวหว่า ???
สำหรับข้อมูลที่เรานำเสนอจากนี้ไปจะเป็นการค้นคว้า ปฏิบัติ ขอยืมจากเว็บที่รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับการทำ Search Engine Optimization ทั้งไทยและเทศ และตัวผู้เขียนเองก็ลงมือทำเองมานานแล้ว ก็เห็นว่าได้ผล จึงทำการ สรุปเป็นกระบวนยุทธ์ที่เข้าใจได้ไม่ยากมอบให้สำหรับมือใหม่ ในการโปรโมทเว็บโดยเฉพาะ แต่มือโปรฯ จะอ่านก็ไม่ว่าอะไรคร๊าบ

ต่อคราวหน้าเน้อ

7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาค 1)

7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาค 2)
7 กระบวนท่า ทำซะ ! ก่อน Google จะเมิน( เว็บ )คุณ (ภาคจบ)


  1. Off-Page Optimization - โดยทั่วไปแล้ว ปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้เว็บคุณอยู่ได้รับการ Index หรือมีชื่ออยู่ใน Search Engine คือ จำนวนของเว็บทำลิ๊งค์เข้ามาหาเว็บของคุณ (Back Link) นั่นเองหรือเรียกว่า เพิ่ม Link Popularity อย่างนี้ก็หมายความว่า ใครมี Back Link เยอะก็มีโอกาสขึ้นอันดับสูงนะซิ คงไม่ใช่ซะทีเดียวครับ เพราะหากคุณเที่ยวไปขอแลกหรือซื้อลิ๊งค์สุ่มสี่สุมห้า ก็อาจโดนแบนจาก Search Engine ได้เพราะ Search Engine เองก็ดูด้วยว่าลิ๊งค์ของคุณมีจำนวนและมีคุณภาพมากแค่ไหน คุณภาพที่ว่าก็คือ จำนวนของเว็บที่ลิ๊งค์มาหาเว็บคุณควรจะเป็นเว็บที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน หรือใกล้เคียงกับคุณเช่น หากคุณทำเว็บขาย VCD DVD ก็ควรม u backward link จากเว็บจำพวกข่าวสารเกี่ยวกับหนัง หรือ DVD เป็นต้น ดังนั้น วิธีการที่แนะนำคือการขอแลกลิ๊งค์หรือ Link Exchange มากหว่าจะไป Buy link ครับ
  2. Submission - คือการลงทะเบียนกับ search engine ซึ่งปัจจุบันในขั้นตอนนี้อาจจะไม่จำเป็นแล้วเพราะ Search Engine ส่วนใหญ่จะใช้ โปรแกรมที่เรียกว่า Robot หรือ Spider วิ่งไปหาเว็บไซด์ต่างๆเอง ยกเว้น web directory อย่าง DMOZ.com ซึ่งยังคงอาศัยการตรวจเว็บด้วยคนอยู่แต่ถ้าเว็บใดได้มีชื่ออยู่ใน DMOZ ก็เป็นบุญเลยล่ะครับเพราะ GOOGLE เองอิงข้อมูลจาก directory นี้มากและยังให้ PageRank กับ DMOZ สูงถึง 9 /10 นั่นหมายความว่าถ้าเว็บของคุณมีชื่ออยู่ใน DMOZ โอกาสขึ้นอันดับสูง ๆ มีแน่ครับ แต่ DMOZ ก็ใช้เวลาในการตรวจสอบเว็บนานมาก บางเว็บ submit ไปเป็นปี ยังไม่มีชื่อในเว็บนี้เลย
  3. Monitor Monitor Monitor - อย่าชะล่าใจเมื่อเว็บของคุณติดอันดับต้นๆ เพราะมีคู่แข่งของคุณคอยช่วงชิงแหน่งไปจากคุณตลอดเวลา การตรวจสอบอันดับทั้งเว็บของคุณและคู่แข่งของคุณ ละการเพิ่ม keyword ที่เกี่ยวข้องเป็นสิ่งที่ควรทำอยู่เสมอครับ

ขั้น ตอนที่ว่ามาทั้งหมดนั้น อ่านแล้วเหมือนว่า " ง่ายจัง ! " คงไม่ง่ายอย่างนั้นครับ เพราะในเมื่อ กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด การติดอันดับใน Search Engine ก็ต้องใช้เวลาฉันนั้น ว่ากันว่า ไม่ต่ำกว่า 6 เดือนครับถึงจะขึ้นอันดับต้นๆ

ขั้นตอนโดยสรุป (ภาค 1)
ขั้นตอนโดยสรุป (ภาคจบ)


ในปัจจุบัน มีบริษัทที่ให้บริการเรื่องการทำ SEO มากมายแต่ละที่ก็มีขั้นตอนการทำแตกต่างกันไป ในเมืองไทยเองก็มีอยู่หลายเจ้าเหมือนกันก็ลอง Search หากันดูเองแล้วกันนะครับ อย่างไรก็ตามขั้นตอนโดยสรุปมีดังนี้

  1. Competition analysis - ศึกษาคู่แข่งของคุณก่อนว่าอยู่อันดับใด ใช้ keyword อะไร Code ของเว็บเพจเป็นอย่างไร และเครื่องมือที่ขาดไม่ได้สำหรับการ monitor คู่แข่งและตัวคุณเองคือ Google Toolbar ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะบอกเราได้ว่าทำไมอันดับของเราใน Google จึงอยู่ต่ำหรือสูงกว่าคู่แข่งโดยดูจาก PageRank จาก Toolbar( ดูรูป ) คะแนนเต็มของจะ PageRank อยู่ที่ 10 ยิ่งเว็บใดที่มีค่าสูงยิ่งมีโอกาสติดอันดับต้น ๆ ใน google ล่ะครับ

    นอกจากนี้ ยังมี SEO TOOLBAR ของ SEO Inc. ซึ่งจัดทำ Toolbar เพื่อให้นัก SEO ตรวจสอบว่า มีจำนวนเว็บที่ทำลิ๊งค์มาหาเว็บของคุณหรือเว็บของคู่แข่งกี่ลิ๊งค์ SEO Toolbar นี้จะทำการตรวจสอบจาก Search Engine ได้แก่ Google, Yahoo!, MSN, AOL และ DMOZ สำหรับ toolbar ทั้งสองแจกฟรีครับ download ได้ที่ toolbar.google.com สำหรับ Google Toolbar และ www.seoinc.com/toolbar หรือ เพื่อน ๆ จะใช้ seoquake ก็ได้น่ะครับผมว่าสะดวกดี เพราะนอกจากเราจะสามารถเช็คค่า pr ได้แล้วเรายังสามารถเช็ค link ต่าง ๆ ได้อีกด้วยครับ
  2. Keyword Research and Selection - ขั้นต่อมาคือการวิเคราะห์และเลือก keyword ที่เหมาะสมกับเว็บไซด์ ยิ่งใช้ keyword ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งทำให้เว็บคุณมีโอกาสติดอันดับมากขึ้นครับ เครื่องมือที่ช่วยในการหา keyword นั้นมีอยู่หลายตัวบางชนิดก็ฟรี บางชนิดเสียค่าใช้จ่ายบ้างเช่น goodkeyword- ฟรีครับตัวนี้ download ได้ที่ goodkeywords.com , wordtracker - ทั้งฟรีและไม่ฟรีครับเป็น บริการเว็บ เข้าไปทดลองได้ที่ wordtracker.com
  3. On-page Optimization - คือการปรับ CODE ของเว็บ เช่น TITLE TAG, Meta Tag , ปรับ copy หรือเนื้อหาในเว็บเพจเพื่อบรรจุ keyword ที่เลือกไว้ให้เหมาะสม รวมถึงการ design หรือ redesign หน้าเว็บให้เหมาะกับ Search Engine
ยังไม่หมดไว้ต่อคราวหน้า คราวนี้เอาตารางคิดค่า pr ไว้ให้ดูกันคร่าว ๆ แล้วกันครับ
(คลิ๊กขยายได้ที่รูปได้ครับ)
ขั้นตอนโดยสรุป (ภาค 1)
ขั้นตอนโดยสรุป (ภาคจบ)


หากกลุ่มเป้าหมายของคุณ เค้าไปค้นหาใน Search engine โดยใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บของคุณแต่ผลการค้นหาในหน้าแรกกับเจอแต่ คู่แข่งของคุณเต็มหน้าไปหมด ทีนี้ล่ะ ยุ่งแน่เพราะ โอกาสจะดังบนเว็บคงยากหน่อย ต้องใช้วิธีอื่นๆ แทน ด้วยเหตุนี้ คำว่า " SEO " จึงกำเนิดขึ้นมา

SEO ที่ว่านี้ย่อมาจาก Search Engine Optimization หมายถึงเป็นวิธีการหนึ่งของการทำตลาดบนอินเตอร์เน็ตด้วย Search Engine (Search Engine Marketing) ว่าด้วยวิธีการเลือกคำค้นหาหรือ "keyword" ที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาบนเว็บไซด์ และการปรับแต่งเว็บเพจ เพื่อให้เว็บไซด์ติดในอันดับต้นๆของ search engine ( ผลที่ได้จากการค้นหาเรียกว่า Natural Search result) ฉะนั้น ยิ่งเว็บไซด์ของคุณได้ปรากฏในอันดับต้นๆในหน้าแรกของผลการค้นหา โอกาสที่จะได้รับการคลิ๊กจากผู้ชมก็ยิ่งมากไปด้วย


ถ้า คุณเป็นคนหนึ่งที่สร้างเว็บไซด์เพียงเพื่อให้ตัวเองหรือคนรู้จักได้ดู คงต้องข้ามบทความนี้ไปเลยครับ เพราะหากคุณหรือองค์กรของคุณ ต้องการให้ชาวโลกรับรู้ว่าฉันหรือเรามีเว็บไซด์ที่ให้ชาวโลกทั้งหลายสามารถ เข้ามาเยี่ยมชม ใช้บริการ หรือซื้อสินค้าได้ง่าย ๆผ่านทางอินเตอร์เน็ตก็คงไม่ใช่เพียงแค่สร้างเว็บแล้วปล่อยให้เจ้าเว็บไซด์ ของคุณประกาศตัวมันเอง คุณเจ้าของเว็บนั่นแหละคงต้องต้องสรรหาวิธีช่วยมันด้วย

เอ๊ะ … เกริ่นซะตั้งนาน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหัวข้อข้างบนหล่ะเนี่ย เกี่ยวซิครับ เพราะปัจจุบัน ด่านอรหันต์ด่านแรกที่ต้องเจอคือ Search Engine หรือสมุดหน้าเหลืองบนเว็บไซด์นั่นแหละ ก็เพราะ ปัจจุบันกว่า 81 % ของ ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตหาเว็บไซด์ที่ต้องการผ่าน Search Engine ไม่ว่าจะเป็น google.com, yahoo.com , msn.com, a9.com, altavista.com เป็นต้นหากกลุ่ม เป้าหมายของคุณ เค้าไปค้นหาใน Search engine โดยใช้คำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับเว็บของคุณแต่ผลการค้นหาในหน้าแรกกับเจอแต่ คู่แข่งของคุณเต็มหน้าไปหมด ทีนี้ล่ะ ยุ่งแน่เพราะ โอกาสจะดังบนเว็บคงยากหน่อย ต้องใช้วิธีอื่นๆ แทน ด้วยเหตุนี้ คำว่า " SEO " จึงกำเนิดขึ้นมา


รอ... รอ.. แล้วก็ รอ.. ครับ 4 - 6 เดือนไม่นานเท่าไหร่หรอกครับ แต่ระหว่างรอนี่สิ อย่างที่บอกไว้ Sandbox Effect ก็คือ " ช่วงทดลองงาน " ทำดีก็ได้โปรโมท ทำไม่ถูกใจก็ทรงกับทรุด ฉะนั้น หน้าที่ของเราก็คือ Search Engine Optimization ครับ ปรับแต่งให้เป็นมิตรกับ Google และ Search Engine อื่น ๆ เพิ่มจำนวน Link Popularity เช่นฝากเลี้ยง เอ๊ี๊ย ! ขอฝากลิ๊งก์ หรือ แลกลิ๊งก์ กับเว็บต่างๆ ยิ่งเว็บที่มี PR สูง ๆ และ อยู่ในธุรกิจเดียวกันหรือใกล้เคียงกับเรายิ่งดี เว็บไหนส่งออกผ้าไหม ก็โน่นเลยเว็บพวกผลิตผ้า ตลาดผ้าอะไรเทือกนั้น เว็บไหนขายของ Handicraft ก็ไปฝากหรือแลกกับเว็บเกี่ยวกับ Handmade ด้วยกัน และที่สำคัญ อย่าลืมลงทะเบียนใน DMOZ ล่ะ่ ถ้ามีชื่อใน web directory แห่งนี้ โอกาสที่ PR ของคุณจะกระโดดจาก ศูนย์ขึ้นไปสามหรือสี่ มีสูงเหมือนกัน

สำหรับ ผู้ที่กำลังวางแผนจะ Luanch เว็บเร็ว ๆ นี้ ไม่ต้องรอให้ทำเสร็จแล้วค่อย Upload หรอกครับ ทำเว็บเพจชั่วคราว ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกับของจริงสัก 4 - 5 หน้า และ Upload เพื่อให้ติด Google Sandbox Effect ไปก่อนเลย เพราะพอถึงเวลา Upload จริงแล้วก็ไม่ต้องรอนานเหมือนเว็บที่สด ๆ ซิง ๆ

ที่ นี้ เว็บน้องใหม่ใจห้าวอยากก้าวไปอันดับสูง ก็ไม่ต้องตกใจอีกต่อไป สะสมบุญเก่าไว้ เมื่อหลุดจากกล่องทราย Sand Box Effect แล้วก็ก้าวกระโดดไปอันดับสูง ๆ ขึ้นไปท้าชิงกับผู้นำได้


จะรู้ได้อย่างไรว่าเราติดอยู่ในกล่องทราย ?

เราสามารถตรวจได้ว่า เว็บไซต์ของเรายังอยู่ในภาวะ Sandbox Effect ได้ง่าย ๆ โดยพิมพ์ คำว่า site:www.ชื่อเว็บของคุณเป็น Keyword ลงใน google นั่นแหละ เช่นเว็บของคุณเป็น www.example.com ก็ให้พิมพ์ site:www.example.com ถ้าไม่ปรากฏผลใดเลยก็แสดงว่าเว็บของคุณอาจถูกแบนอยู่ก็ได้ แต่ถ้ายังปรากฏผลค้นหาบ้างก็เป็นได้ว่า็อาจอยู่ในกล่องทรายก็ได้สำหรับเว็บ ใหม่

ใช้โดเมนเนมของคุณค้นหาลงใน MSN , Yahoo และ Google หากผลค้นหาพบว่า ทั้ง MSN และ Yahoo หรือเว็บใดเว็บหนึ่ง แสดงชื่อ โดเมนเนมของเรา แต่ Google ไม่แสดงผลให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า เราอาจจะติืดอยู่ใน กล่องทราย หรือ ไม่ก็เว็บเราโดนแบนจาก Google ที่นี้ให้ลองดูที่ Google Toolbar ว่า PageRank(PR) ของเรา เป็นสีเทาหรือไม่ ถ้าเป็นแสดงว่า เว็บของเราโดนแบนจาก Google เข้าให้แล้ว แต่ถ้ามีเลขแสดงอาจจะเป็น 0/10 ก็ยังพออุ่นใจได้ว่า เรามีโอกาสที่จะมีชื่ออยู่ในสารระบบของ Google เราอาจใช้โปรแกรมช่วยอย่าง seoquake ก็ได้น่ะครับจะต้องการจะทำการเช็คหลายเวปพร้อมกัน

ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของเราแล้วละ่ที่จะต้องไปปรับแต่งเว็บให้เป็นที่ต้องใจ ของ Google ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่ม inbound link หรือ on-page Optimization


Google Sand Box Effect - ปรากฏการณ์สำหรับเว็บน้องใหม่ที่ต้องใจเย็น

ท่ามกลางการแข่งขันในการที่จะทำให้เว็บไซต์ขึ้นอันดับสูงๆ ใน Search Engine โดยเฉพาะ Google แต่สำหรับเว็บน้องใหม่แล้วโอกาสทีู่่่จะมีชื่อเว็บในสารระบบในช่วง 4 - 6 เดือนแรกนั้นค่อนข้างยากเพราะสิ่งที่คุณต้องเจอก็คือ Sandbox Effect ของ Google นี่แหละ แล้ว Sandbox Effect เนี่ย มันคืออะไรละ่หว่า!

What is Sandbox Effect ?

Sandbox Effect คือแนวความคิดที่ว่าเว็บไซด์ใดก็ตามที่เป็นเว็บไซด์ใหม่จะยังไม่ได้รับการ จัดอันดับหรือมีชื่ออยู่ใน google ในช่วงระยะเวลาหนึ่งนับตั้งแต่วันแรกทำการ upload เว็บเพจ ซึ่งอาจจะเวลาประมาณ 4 - 6 เดือน ( บางเว็บเป็นปี ก็มี )หรือเปรียบเสมือนช่วง " ทดลองงาน " หรือ " Probation " นั่นเอง เหตุที่ต้องเป็นเช่นนี้ว่ากันว่า เป็น เพราะ Google ต้องการสร้างความเชื่อถือให้กับ Search Engine ของตนเอง เนื่อง จาก Factor หนึ่งที่มีผลต่อการจัดอันดับคือ จำนวน Inbound Link หรือ จำนวน Link จากเว็บไซต์อื่นๆ ที่ลิ๊งก์เข้ามาหาเว็บไซต์หรือเว็บเพจของเรา ถ้าเว็บใดมี Inbound Link มากก็มีโอกาสที่ขึ้นอันดับสูง(Google ยังใช้ Factor อื่นๆ ในการจัดอันของผลค้นหาด้วย ) นั่นย่อมเปิดโอกาสให้ Webmaster เว็บใหม่นั้นๆ พยายามฝาก แลก หรือ ซื้อ Link เพื่อ link Popularity หรือ จำนวน Inbound Link ของตนเอง โดยไม่สนใจพัฒนาเนื้อหาในเว็บเพื่อผู้ใช้อย่างแท้จริง


5.คนเข้าเว็บน้อย
-Google จะสังเกตุจำนวนคนเข้าเว็บคุณจาก google toolbar หรือ จากคนที่เข้าเว็บคุณผ่านทาง google search และเปรียบเทียบมันกับเว็บไซต์คู่แข่ง ถ้าในขณะนั้นเว็บคุณคนเข้าน้อยกว่าเว็บคู่แข่ง Googleจะตัดสินคุนให้เป็นเว็บที่ไม่ได้คุณภาพหรือให้ความสำคัญกับ เพราะฉะนั้นคุณควรให้ความสำคัญกับจำนวนคนเข้าเว็บคุณ โดยการไปแสดงความคิดเห็นตามเว็บบอร์ด หรือ บล๊อคต่างๆ หรือการทำ submit directory

6.Hosting ที่ให้บริการมีความเร็วต่ำ
-เวลาใน การเข้าเว็บคุณก็เป็นปัจจัยนึงที่Googleให้ความสำคัญ อย่าขี้งกเวลาซื้อโฮส ควรใช้โฮสที่มีความเร็ว มีล่มบ่อย และตรงกับผู้ใช้งาน ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นคนไทย ควรใช้เว็บไทย ถ้าเป็นฝรั่งควรใช้โฮสของเมืองนอก

7.เว็บเสียเป็นประจำ
-ควร แน่ใจว่าเว็บของคุณออนไลน์อยู่ตลอด เพื่อไม่ให้ google bot เข้ามายังเว็บคุณ แล้วเจอกับปัญหา"Page Not Found" นี่อาจจะเป็นเหตุผลหลักเลย ว่าทำไมเว็บของคุณไม่อยู่หน้าแรกซักที ถึงแม้เว็บไซต์คุณจะมีเนื้อหาที่ไม่เหมือนใคร ทำการ SEO อย่างเทพ แต่ถ้าเข้าไม่ได้ก็ไม่มีความหมาย อย่าลืมตรวจสอบโฮสที่ให้บริการว่ามีคุณภาพพอหรือไม่


ที่เว็บ เพื่อนๆ ไม่ติดหน้าแรกซักที เข้าข้อใดข้อหนึ่งในนี้กันหรือป่าวครับ รีบปรับปรุงเว็บเสียนะครับ Googleจะได้มองเว็บเราเป็นเว็บคุณภาพเว็บหนึ่งเสียที

7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 1)
7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 2)
7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 3)

ที่มา : เว็บสยามเพาว์เวอร์


3.ใช้คีเวิร์ดเยอะเกินไป
-ใน หน้าเว็บของคุณ ใส่ keyword เยอะเกินไปหรือป่าว คุณไม่ควรใส่เกินไปจนดูน่ารำคาญหรือทำให้เนื้อหาในเว็บเสียไป ที่ๆนิยมใส่ keyword ก็คือ title ,description tags,headers ส่วนการใส่ในเนื้อหานั้น ควรกระจายๆ ออกไปดีกว่า

4. Duplicate Content
-ถ้าคุณเป็น คนที่ชอบ ctrl+c แล้ว ctrl+v ต้องเจอปัญหานี้แน่ๆ กับการมีเนื้อหาในเว็บซ้ำกับของคนอื่น Googleจะทำการเก็บเนื้อหาที่ unique ไว้ในระบบ เมื่อมีเนื้อหาในเว็บอื่นเกิดขึ้น Googleจะเอาไปตรวจสอบว่าซ้ำกับของเดิมมั้ย ส่วนใหญ่ที่มักจะเหมือนกันเลยก็คือ Titles และ Descriptions มีหลายเว็บที่ใช้ Title เหมือนกัน คุณเคยสังเกตุกันมั้ย ว่าทำไมค้นหาคำว่า cute cat แล้วผลลัพธ์มีเว็บใช้ title นี้โผล่มาแค่อันเดียว ในเมื่ออาจมีหลายสิบเว็บที่ใช้ Title อย่างนี้ นั่นก็เพราะว่าถ้ามีเนื้อหาซ้ำกันกุเกิ้ลจะเอาเว็บที่มีเนื้อหาดีที่สุดขึ้น ก่อนนั่นเอง ส่วนเว็บที่เหลือจะไม่ถูกน้ำขึ้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นคุณจะทำให้เว็บดูมีเนื้อหาไม่เหมือนใครและมีคุณค่าแก่Google

-มีทางออกสำหรับคนที่ทำเว็บแล้วเจอ Duplicate Content ให้เว็บติดในGoogleและมีอันดับดีกว่า เว็บที่มีเนื้อหาเหมือนกัน ดังนี้
1.เว็บคุณมีลิ้งเข้ามา มากกว่าเว็บของคู่แข่งที่มีเนื้อหาเหมือนกัน
2.เว็บคุณมีลิ้งเข้ามา น้อยกว่าเว็บคู่แข่ง แต่ลิ้งที่เข้ามานั้น มีคุณภาพและมาจากเว็บที่มีอันดับสูงๆ

7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 1)
7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 2)
7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 3)

ที่มา : เว็บสยามเพาว์เวอร์


แปลจาก 7 Top Google Rank-Killer Glitches

1.Link ไปยังเว็บที่ไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาของคุณ
-เรา ทุกคนรู้กันอยู่แล้วว่าหัวใจของการทำ SEO คือ การหาลิ้งเข้ามายังเว็บเราให้มากที่สุด แต่เราควรจะคิดถึงคุณภาพด้วยว่าเว็บที่ลิ้งมาหาเรานั้น รวมทั้งเว็บที่เราลิ้งออกไป มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกันหรือป่าว ยกตัวอย่าง คุณทำเว็บเกี่ยวกับรถยนต์ แต่เว็บที่ลิ้งมาหาคุณคือเว็บทำอาหารเป็น 10 เว็บ กับ เว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรถยนต์เหมือนกันเข้ามา 1 เว็บ อย่างหลังถือว่าคุณได้ลิ้งที่มีคุณภาพไปมากกว่าอย่างแรกแน่นอน บางทีจำนวนลิ้งมากๆอาจไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดเสมอไป ให้ความสำคัญกับคุณภาพของแต่ละลิ้งดีกว่า

-ถ้าลิ้งที่เข้ามาหาคุณ เกิด HTTP 404 ขึ้นมา เพราะว่าurl นั้นไม่มีในเว็บคุณ ควรจะเขียน Email ไปหา webmaster ให้แก้เป็นลิ้งที่ถูกซะ หรือไม่ก็ใช้ permanent 301 redirect ไปยังหน้าเว็บที่ถูกต้องเอาเลย อีกตัวอย่างนึงของ anchor text ที่ผิดๆคือ "Click here" หรือ "Read more" ลิ้งที่ดีควรใช้ข้อความที่มี keyword เกี่ยวกับเว็บคุณ เช่น "Internet Marketing Tips", "SEO Tricks to improve your rankings", "National Camera Exchange" แนะนำว่าใน anchor text นึง ไม่ควรยาวเกินไป มีซัก 3 คำ กำลังดี

-ลิ้งอย่างสุดท้ายที่ไม่ได้คุณภาพก็คือ link farms หรือการได้ลิ้งมาจากเว็บที่มี ลิ้งออกเป็นจำนวนมาก

อย่าลืมให้ความสำคัญกับลิ้งของเว็บที่มีคุณภาพ มากกว่าจำนวนลิ้งที่เข้ามา

2.มีลิ้งเข้ามาแบบผิดปกติ
- คุณเป็นคนนึงหรือป่าวที่ submit directory ที่เดียว 500 กว่าเว็บ, Googleคงไม่ปลื้มแน่ถ้ารู้ว่าลิ้งที่เข้ามาไม่เป็นธรรมชาติเอาซะเลย แค่วันเดียวก็มีลิ้งเข้ามาเว็บคุณเป็นร้อยเว็บ คุณควรจะทยอยการ submit ไป วันละ 20-50 เว็บ ดีกว่าอัดไปวันเดียว

-เว็บที่ได้ลิ้งมาโดยการ ซื้อขายก็ถือว่าไม่เป็นธรรมชาติเหมือนกัน ถ้าหากอยากซื้อ-ขายลิ้ง คุณควรไม่ให้Googleจับได้ หลายเว็บไซต์ใช้บริการผ่านทางเว็บไซต์ส่วนกลาง เช่น backlinks.com, text-link-ads.com

7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 1)
7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 2)
7 เพชรฆาตร อันดับเว็บในGoogle (ภาค 3)

ที่มา : เว็บสยามเพาว์เวอร์


ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีทางด้านอินเตอร์เนตนั้นเจริญเติบโตและพัฒนาอย่างต่อ เนื่อง และการทำการตลาดผ่านอินเตอร์เนตก็มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องเช่นกันนะครับ ปัจจุบันการทำการตลาดผ่านอินเตอร์เนตมีเครื่องมือในการทำการตลาดผ่าน อินเตอร์เนต ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้นและพวกเราต้องมีกลยุทธ์ในการทำ Internet Marketing รวมถึงการเลือกใช้เครื่องมือและวิธีการในการทำ Internet Marketing เพื่อให้ธุรกิจของพวกเราประสบความเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ วันนี้ผมเลยจะมาแนะนำเครื่องมือและวิธีการในการทำ Internet Marketing แบบง่ายๆ 2 ชนิด ดังนี้

1. การทำ SEO ผมเลือกให้ Search engine optimization (SEO) เป็นอันดับแรกเพราะมันเป็นการโฆษณาหรือการทำ Internet Marketing แบบฟรีๆ ผ่านเซิร์สเอ็นจิ้นด้วยเทคนิคของการปรับแต่งทั้งทางด้าน on-page และ off-page นะครับ ในปัจจุบันนั้นมีเว็บไซต์เกิดขึ้นใหม่ในแต่ละวันหลายพันเว็บไซต์ และการแข่งขันสำหรับขึ้นหน้าแรกในหน้าผลลัพธ์การค้นหามีมากขึ้นสำหรับคำค้น หา (Keyword) ที่เป็นที่นิยม และจากสถิติแล้วคนมักคลิกเข้าชมเว็บไซต์ที่แสดงในหน้า 1-2 ของผลการค้นหาเท่านั้น (อันดับ 1-20) ในการทำ SEO นั้นปัจจุบันดูเหมือนว่า off-page factor จะมีผลมากกว่า แต่ก็ควรเอาใจใส่ในเรื่อง on-page factor พื้นฐานด้วยนะครับ เช่น Title Tag, Description Meta Tag, Keyword Meta Tag, H1 Tag หรือ Keyword Density เป็นต้น

2. Blog ปัจจุบัน Blog เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการทำ Internet Marketing ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ผู้ใช้งานอินเตอร์เนตหลายๆคนก็มีบล็อคเป็นของตัวเองกันนะครับ อย่างเช่น บล็อคของผมที่นำเสนอเรื่องราวของ Internet Marketing เป็นต้น บล็อคสามารถเผยแพร่ข้อมูลหรือข่าวสารทางการตลาดออกไปในลักษณะที่ไม่เป็นทาง การ ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ถูกเสนอขายของอยู่ตลอดเวลาเหมือนอย่าง เวลาที่ผู้บริโภคได้รับข้อมูลจากสื่ออื่นๆ และปัจจุบันผู้บริโภคชอบที่จะมาหาความคิดเห็นของผู้อื่นในหัวข้อที่ตัวเอง สนใจหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับสินค้าที่ตนเองสนใจอยู่ ซึ่งข้อมูลเหล่านั้นมักจะอยู่ในเว็บบล็อคส่วนตัว ของผู้ที่สนใจในเรื่องเดียวกัน และบล็อคยังมีโครงสร้างที่ดีสำหรับการทำ SEO อีกด้วยนะครับ และบล็อคของบริษัทขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีการอัพเดตเนื้อหาตลอดเวลา ซึ่งการอัพเดตเนื้อหาทุกครั้งจะมีการ ping เพื่อเรียกบอทจากเซิร์สเอ็นจิ้นเข้ามาเก็บเนื้อหาซึ่งส่งผลดีต่อการ index และ search result ranking ด้วยนะครับ และพวกเรายังสามารถนำบทความที่เขียนในบล็อคไปซับมิตกับเว็บไซต์ที่รับซับมิ ตบทความหรือเว็บไซต์บุ๊คมาร์ฺคเพื่อโปรโมตเพิ่มได้อีกนะครับ

นอกจากเครื่องมือและวิธีการในการทำ Internet Marketing แบบง่ายๆ 2 อย่างที่ผมยกตัวอย่างมาในบทความนี้แล้วนะครับ ยังมีเครื่องมือและวิธีการในการทำ Internet Marketing แบบง่ายๆ อีกจำนวนมากที่น่าสนใจและมีประสิทธิภาพในการนำมาทำการตลาดผ่านอินเตอร์เนต เช่น auto-responder email, EZine advertising หรือ pay per click advertising เป็นต้น ซึ่งแต่ละเครื่องมือก็มีกลยุทธ์ในการนำไปใช้ที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโมเดลธุรกิจของเพื่อนๆและกลยุทธ์ที่เพื่อนๆวางแผนกันไว้นั่นเอง ครับ สำหรับวันนี้เพื่อนๆคงได้รับไอเดียเบื้องต้นเกี่ยวกับการทำ SEO และ Blog Marketing กันไปบ้างแล้วนะครับ

ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม


Internet Marketing คืออะไร เ่อ่อมันคืออะไรหน๊อ ทำมาหากินอยู่กับมันมาตั้งนานเรียกชื่อมันอยู่ก็บ่อย แต่ไม่เคยนิยามศัพท์ของมันออกมาเลย วันดีคืนดีซักเมื่อประมาณ 2 ปีที่แล้วก็เลยเข้าไปหาข้อมูลจากหลายๆ แหล่งข้อมูล ส่วนใหญ่จะมาจากหนังสือและ e-book ของต่างประเทศ เพราะศาสตร์ทางด้าน Internet Marketing ในประเทศไทยในขณะนั้นเมื่อประมาณปี 2549 มันช่างมีอยู่น้อยเหลือเกินถึงไม่มีเลยด้วยซ้ำ อิอิ

จากการที่หาข้อมูลจากหลายๆ แหล่ง จึงสรุปออกมาได้ว่า นิยามความหมายของ Internet Marketing คือ การทำการตลาดให้กับสินค้าและบริการผ่านสื่ออินเตอร์เนต และ Internet Marketing ยังถูกอ้างอิงไปถึง eMarketing, Web Marketing และ Online Marketing ซึ่งคำที่กล่าวถึงมาทั้งหมดมันก็คือการทำการตลาดให้กับสินค้าและบริการผ่านสื่ออินเตอร์เนตนั้นเอง การนำ Internet Marketing มาใช้นั้นมีทั้งข้อได้เปรียบและข้อจำกัดในการนำมาใช้ทำการตลาดให้กับสินค้า หรือบริการ ซึ่งคุณต้องเลือกเอาไปปรับใ้ช้ให้เหมาะสมกับ โมเดลทางธุรกิจของคุณ

Internet Marketing สามารถส่ง Information และ Media ที่เกี่ยวกับสินค้าและบริการของคุณให้กับผู้ชมทั่วโลกได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ มากๆ และยังสามารถสร้างการตอบสนองได้ในทันทีอีกด้วย ดีใช่มั๊ยล่ะครับ

Internet Marketing นอกจากเรื่องของการสื่อสารแล้วยังรวมไปถึงเรื่องของการจัดการข้อมูลลูกค้า ที่อยู่ใน digital format (Digital Customer Management) และยังเกี่ยวข้องกับ การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าผ่านอินเตอร์เนต (Electronic Customer Relationship Management : eCRM) อีกด้วย

ในกระบวนการทำ Internet Marketing ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการทำต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และก็เทคนิครายละเอียดเฉพาะด้านในงานแต่ละส่วนที่เกี่ยวกับ Internet Marketing เพราะ Internet Marketing ไม่ ใช่เพียงแค่การไปแปะแบนเนอร์เว็บไซท์ของเราบนเว็บไซท์อื่นๆ หรือไม่ใช่แค่การเอาเว็บไซท์เราไปลงโฆษณาในสื่ออื่นๆเท่านั้น แต่การในกระบวนทำ Internet Marketing จำเป็นต้องมีการวาง แผนกลยุทธ์ว่าจะใช้งานอย่างไรกับโมเดลธุรกิจประเภทไหน กับเว็บไซท์ใด แล้วจะปิดการขายผ่านเว็บไซท์นั้นหรือไม่หรือแค่เพียงเก็บข้อมูลลูกค้าผ่าน เว็บไซท์ และจะมีการทำโปรโมชั่นอย่างไร สื่อสารออกไปอย่างไร ด้วยวิธีไหน ซึ่งกลยุทธ์ที่วางไว้ในการนำ Internet Marketing มาใช้สำหรับธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง ต้องวางแผนให้สอดคล้องและทำงานร่วมกันให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ธุรกิจวางไว้

ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม

Newer Posts Older Posts Home