A Blogger by Beamcool

บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ การตลาด seo และ วิธีการ หาเงิน บน อินเตอร์เน็ต เทคนิคในการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต ( เราหมายถึงการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต จริง ๆ ที่ไม่ใช่การชวนเข้า mlm แต่อย่างใดครับ) รวมถึง บริการออนไลน์ ออฟไลน์ ต่าง ๆ ในเครือ Wittybuzz ไว้ด้วยกัน ใครที่เยี่ยมชมนี้ด้วย Internet Explorer แนะนำให้ดาวโหลด Firefox มาใช้จะดีกว่าครับ นอกจากลูกเล่นจะมีเยอะกว่า ยังมีเครื่องมือที่สนับสนุน SEO อีกด้วยครับ


กฎ 23 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นการวิจัยของ 3 สถาบัน ได้แก่ The Poynter Institute, the Estlow Center for Journalism & New Media, และ Eyetools ภายใต้โครงการ “The Eyetrack III”
11. รูปแบบเว็บไซต์ที่มีแถวแนวตั้งแถวเดียว ดึงดูดสายตามากกว่าหลายแถว

12. แบนเนอร์โฆษณาที่อยู่บริเวณบนสุดและซ้ายสุด จะดึงดูดสายตามากที่สุด

13. การวางโฆษณาใกล้กับคอนเทนท์ที่ดีที่สุด จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ค่อนข้างมาก

14. โฆษณาแบบตัวอักษรได้รับความสนใจมากกว่าโฆษณาแบบภาพหรือกราฟฟิค

15. ภาพยิ่งใหญ่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก

16. ภาพที่ชัด ดูง่าย และถ่ายบุคคลจริงๆ จะได้รับความสนใจจากคนดู มากกว่าภาพประเภทดีไซน์จัดๆ ภาพนามธรรม (abstract) หรือภาพนายแบบ-นางแบบ

17. หน้าเว็บไซต์ก็เหมือนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น พาดหัวจะได้รับความสนใจมากที่สุด

18. คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหัวข้อและเมนูต่างๆ ในเว็บไซต์

19. ถ้ามีบทความยาวๆ ในเว็บไซต์หรือบล็อก หากแยกเนื้อหาออกเป็นข้อๆ จะได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากขึ้น

20. ผู้ใช้มักจะไม่อ่านบทความที่ติดกันยาวๆ หลายบรรทัด ดังนั้น ถ้าบทความยาวมาก ควรแตกเป็นย่อหน้าย่อยๆ

21. การดึงความสนใจของคนให้อ่านบทความให้มากและนานที่สุด คือการใช้รูปแบบตัวอักษรที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวหนา ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ หรือตัวอักษรสีต่างๆ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะทำให้ผู้อ่านหมดความสนใจเช่นกัน

22. เว้นที่ว่างบนหน้าเว็บบ้างก็ดี ไม่ต้องใส่ข้อมูลหรือภาพบนทุกอณูของเว็บก็ได้

23. ปุ่ม navigation ควรวางไว้บนสุดของหน้าเว็บ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ง่ายที่สุด iamnotkorr

ที่มา : ไอแอมนอทคอร์


กฎ 23 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นการวิจัยของ 3 สถาบัน ได้แก่ The Poynter Institute, the Estlow Center for Journalism & New Media, และ Eyetools ภายใต้โครงการ “The Eyetrack III”
ซึ่งศึกษาถึงกลยุทธ์การออก แบบเว็บไซต์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้มากที่สุด ดังนี้

1. ตัวอักษรดึงดูดความสนใจได้เร็วกว่าภาพหรือกราฟฟิค

2. จุดแรกที่สายตามองคือ มุมซ้ายบนของหน้าเว็บ

3. ผู้ใช้จะมองไปที่มุมซ้ายบนของเว็บไซต์ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างขวาเรื่อยๆ

4. ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สนใจมองแบนเนอร์โฆษณา

5. รูปแบบเว็บไซต์และตัวอักษรที่มีสีสันสะดุดตา มักไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้

6. แสดงข้อมูลเป็นตัวเลข จะดึงดูดสายตามากกว่าเขียนเป็นตัวอักษร

7. ขนาดตัวอักษรมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เว็บ โดยตัวอักษรเล็กๆ จะทำให้คนอ่านอย่างละเอียด ขณะที่ตัวอักษรใหญ่ ทำให้คนมองเป็นอันดับแรก

8. คนส่วนใหญ่อ่านพาดหัวรอง ในกรณีที่น่าสนใจจริงๆ

9. คนมักจะอ่านส่วนล่างของหน้าเว็บแบบผ่านๆ

10. ประโยคหรือย่อหน้าสั้นๆ ดึงดูดความสนใจของคนอ่านมากกว่า

ที่เหลือไว้คราวหน้าน่ะครับ

ที่มา : ไอแอมนอทคอร์


Viral Marketing ไม่ใช่อะไรที่ไกลตัว หรือเป็นของใหม่บนเว็บเลย
ฟังก์ชั่น Email to Friend, Trackback, Embed URL
ก็เป็นการตลาดแบบ Viral Marketing เช่นกัน
หรือเว็บอย่าง Del.icio.us, Digg, Zickr, Fwddr
ก็เป็นโอกาสของการตลาดแบบปากต่อปากทั้งนั้น

ข้อดีของ Viral Marketing ก็คือ
เป็นการตลาดแบบ Customer-driven
ลูกค้าเต็มใจที่จะรับข่าวสารนั้น
และข่าวสารที่ลูกค้าเต็มใจรับเอง เพราะเพื่อนบอกมา
ลูกค้าก็มักจะให้การต้อนรับมันดีกว่าข่าวสารที่ถูกยัดให้เห็นให้ฟัง

และยิ่งถึงยุคที่ผู้ใช้คัดเลือกข้อมูลที่จะรับรู้เอง
Viral Marketing ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น
บริษัทสื่อผู้บริโภคด้านสุขภาพ MedTrackAlert ได้ร่วมกับ CNET
ในการพัฒนาเครื่องมือวัดคุณภาพแนวโน้มที่ข้อความโฆษณานั้นๆจะถูกบอกต่อ
ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือออฟไลน์

เครื่องมือนี้ ใช้ Shareability scale หรือมาตรวัดของความสามารถในการแชร์
ซึ่งแจกให้ลูกค้าในกลุ่มผู้ทดสอบ
ซึ่งมาตรวัดนี้ได้สร้างขึ้นเทียบกับผู้ใช้สองประเภท คือ
ผู้ใช้ประเภท B2B ในธุรกิจไฮเทค
และผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มสนใจด้านสุขภาพ

ผลในการใช้งานเครื่องมื่อนี้จะเป็นตัวบอกว่า โฆษณาตัวนั้น หรือแคมเปญชุดนั้น
จะมีการบอกปากต่อปากขนาดไหน

Shareability scale รวมไปถึง

1. การพิจารณาข้อความในโฆษณา หรือแคมเปญ
ว่ามีแนวโน้มจะส่งต่อให้เพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยอย่างไร

2. การพิจารณาความเป็นเอกลักษณ์ของข้อมูลข่าวสารในโฆษณา
ว่ามีแนวโน้มจะส่งต่อให้เพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยอย่างไร

3. การพิจารณาความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าหรือบริการในโฆษณา
ว่ามีแนวโน้มจะส่งต่อให้เพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยอย่างไร

การค้นคว้าวิจัยเรื่อง Shareability นั้น ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
เพราะเหตุผลที่คนเราจะบอกหรือไม่บอกต่อนั้นมีปัจจัยหลายอย่างมาก
ซึ่งทาง MedTrackAlert และ CNET ก็จะยังศึกษาต่อไป

ในความเห็นของเรา คนเหล่านี้ก็ช่างคิดนะ
นับถือในความพยายามในการค้นหาวิธีวัด
ในหลายๆครั้งคนเราก็ต้องการวัดสิ่งที่อยู่ในจิตใจด้วยสูตร ด้วยมาตรวัด
ด้วยมาตรฐานอะไรบางอย่าง
ซึ่งบางครั้งก็เวิร์กอย่างน่าอัศจรรย์
แต่ในหลายๆครั้งก็ยังเป็นที่สงสัยว่ามันเวิร์กจริงหรือ

อย่างไรก็ดี
ก็ควรต้องจับตาไว้เป็นระยะ
ถ้าได้สูตรการหาค่า Shareability ออกมาในที่สุด
เอเจนซี่โฆษณาทั้งหลายก็คงจะได้มีงานทำเพิ่มก็คราวนี้ล่ะ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


เมื่อพูดถึงการโฆษณาออนไลน์
ส่วนใหญ่เราจะนึกถึง Banner วิ้งๆแว้บๆ
ซึ่งถ้าอยู่บนสุด บนเว็บหน้าแรก ก็ถือว่า เป็นสปอนเซอร์ใหญ่

แต่ก่อนเมื่อตอนที่อินเตอร์เน็ตยังไม่บูมนักในเมืองไทย
การโฆษณาบนเว็บไม่ได้มีราคาค่างวดนัก
นักโฆษณาตีค่าโฆษณาบนเว็บไซต์ต่ำมาก

แต่เมื่อนักโฆษณาเริ่มเห็นค่าของเว็บไซต์
ราคาของเว็บไซต์ก็สูงขึ้น และสูงขึ้น
การโฆษณามักจะไม่พ้นเรื่องแบนเนอร์
และ Micro-site ที่รันแคมเปญโฆษณา

การโฆษณาแบบเดิมจนถึงปัจจุบัน
ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นแบบ Marketer-driven อยู่

ซึ่งค่าใช้จ่ายในการทำโฆษณาเช่นนั้น สูงขึ้นทุกวัน
แต่ด้วยความเป็นอินเตอร์เน็ต
มันยังเปิดโอกาสให้ทำการตลาดแบบที่ค่าใช้จ่ายต่ำได้
ในการโฆษณาแบบหนึ่งที่เหมือนกับการโฆษณาแบบออฟไลน์
ที่มีอิทธิพลมากอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ Viral Marketing

เรามักมีแนวคิดว่า ผู้ใช้เกลียดโฆษณา
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่
ผู้ใช้ไม่ได้รังเกียจโฆษณาทุกอัน
แต่รังเกียจโฆษณาที่ไม่เกี่ยวข้องกับเขา และเขาไม่อยากจะรับรู้
Viral Marketing หรือการตลาดแบบปากต่อปาก (word of mouth)
เป็นวิธีการตลาดที่ใช้กันมานาน ทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์
ข้อดีของการตลาดแบบนี้คือ ลงทุนต่ำ หรือแทบไม่ต้องลงทุนเลย
แต่ต้องทำให้ผู้นำทางด้านการตลาด
ซึ่งในที่นี้คือ ส่วนหัวกะทิของลูกค้าของเรา
ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะมีอิทธิพลทำให้คนอื่นในกลุ่มปฏิบัติตาม
ยอมรับและเห็นดีเห็นงามในผลิตภัณฑ์หรือบริการของเรา
มากพอที่จะบอกคนอื่น หรือแสดงให้คนอื่นเห็นว่า
มันดีนะ มันควรใช้นะ
เมื่อผู้ตามคนอื่นเห็นท่านผู้นำทำ ก็จะทำตาม
และเมื่อเห็นดีเห็นงาม เขาก็จะเริ่มบอกคนอื่นปากต่อปากไปเรื่อยๆ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ถ้าเป็นเราจะทำบริการอีคอมเมิร์สขึ้นมาเรานึกภาพออกไหม นอกจากหน้าเว็บที่มีภาพสินค้าวางๆตามหมวดหมู่ หรือชื่อผู้ขาย? นอกจากมีการเลือกซื้อสินค้าแบบเบๆอย่างสองอย่างข้างบนแล้วEtsy ก็ยังมีทางเลือกให้ผู้ซื้อ ได้ชมสินค้าในมิติอื่นๆอีกด้วย เช่น ชมสินค้าตามที่อยู่ของผู้ขาย เลือกดูสินค้าตามความเกี่ยวข้อง เลือกดูสินค้าตามระยะเวลาที่สินค้าวางแผง เลือกดูสินค้าตามสีของสินค้า

ยิ่งสินค้าที่ปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกซื้อไม่ใช่ราคาแต่เป็นความชอบ ซึ่งผู้ซื้อไม่ใช่ดูสินค้าจากที่นี่ แล้วจะไปสรรหาสินค้าแบบเดียวกันในเว็บขายสินค้าราคาถูกเว็บอื่นๆไม่ว่า สินค้านี้ ผู้ขายเดียวกันอาจจะขายที่อีเบย์ในราคาต่ำกว่าที่นี่แต่ผู้ซื้อก็อาจจะ ตัดสินใจซื้อจากที่นี่เลยได้ไม่ว่าจะด้วยบรรยากาศ ที่ช่วยส่งเสริมความเป็น Unique ของสินค้าเอง(ทำให้สินค้าที่นี่ ราคาค่อนข้างเหมาะสมกับเหตุกับผลที่มันควรจะเป็น)และบรรยากาศที่ช่วยส่ง เสริมให้ผู้ซื้อได้เลือกสินค้าในหลายๆมิติซึ่งส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของ Etsy คือ นอกจากเป็นงานฝีมือแล้วยังเป็นงานฝีมือที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์อีก ต่างหาก(ซึ่งไม่มีใครรู้หรอก หากใครจะไปซื้อของที่จตุจักรมาขายแถมอาจจะขายได้ราคาดีกว่าซื้อมาไม่รู้กี่ เก่า เพราะจุดสำคัญคือ คนซื้อชอบ)และเป็นไปอย่างสนุกสนาน(จะเห็นได้ว่า เขาเน้นภาพเป็นหลัก ไม่ใช่ listing เป็น text เหมือนเว็บทั่วไปซึ่งนั่นคือธรรมชาติของการซื้อของแบบที่ไม่เน้นราคานัก มีความชอบเป็นอีกปัจจัยหลัก)

เราก็สามารถที่จะสร้างบริการอีคอมเมิร์สที่ให้บรรยากาศ ประสบการณ์กับผู้ใช้ แตกต่างไปจากที่อื่นๆไม่ว่าจะเป็นบริการเปรียบเทียบ ฟาดฟันราคากันเห็นๆ (อย่างสร้างสรรค์)หรือบริการเปรียบเทียบของแบรนด์เนม เน้นสไตล์รูปทรงเป็นหลักหรือถ้าเราเป็นผู้ขายสินค้าหรือบริการเองจะทำอย่าง ไรให้ผู้ใช้รู้สึกถึงแบรนด์ของสินค้าหรือบริการของเราได้ไม่ใช่เป็นเพียงแค ตตาล็อกเบสิคๆ(แต่สถานการณ์ไหนที่ควรจะเป็นแคตตาล็อกเบสิคๆ ก็ควรเป็นไปนะ)

แต่ก็อย่าลืมว่า ถ้าเรามีกลยุทธ์ Price Discriminationต้องดูศักยภาพของสินค้าหรือบริการของเราด้วยว่า สามารถทำได้เพราะ ในเนตนั้น การตรวจสอบราคาสินค้าหลายๆอย่าง สามารถทำได้โดยง่ายเช่น ถ้าเราเปิดร้านออนไลน์ขายสินค้าหรือบริการที่ก็มีอยู่ในร้านออนไลน์อื่นๆไม่ ใช่สินค้าที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง หาที่ไหนไม่ได้ หรือหาได้ยากหรือเราไม่ได้เป็นผู้นำในการควบคุมราคาสินค้านั้นๆเองก็จะยาก ที่จะเกิด แม้ว่าจะใส่ความคิดสร้างสรรค์เข้าไปเต็มที่ ก็อาจจะดันยอดขายไม่ขึ้นก็ได้

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ซึ่ง Price Discrimination เป็นกลยุทธ์ที่ใช้กันเป็นปรกติทั่วไปมากๆในมุมมองผู้บริโภค อาจจะดูไม่แฟร์เพราะเรารู้สึกว่า เราต้องจ่ายมาก ทั้งๆที่เราสามารถจ่ายน้อยได้แต่นั่น ก็ทำให้เกิดการแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นได้ด้วยถ้าธุรกิจของเราค่อนข้างจะ เป็นMonopolyเราจะกำหนด Price Discrimination ตามใจได้มากกว่าแต่ถ้าเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันสูงPrice Discrimination จะช่วยให้เกิดการแข่งขันที่น่าสนใจมากขึ้นเราจะมีตัวเลือกในการบริการมาก ขึ้น สามารถเลือกสิ่งที่พอใจมากที่สุดได้ในขณะที่เจ้าของธุรกิจก็มีลูกเล่นในการ ที่จะทำกำไรได้อยู่

ถึงบริษัทนั้นๆจะไม่ได้เล่น Price Discrimination ก็ตามอย่างไร การทำธุรกิจ ก็ต้องทำให้เกิดกำไรนั่นแหละไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่งั้นจะทำธุรกิจไปทำไมสำหรับบนอินเทอร์เน็ตนั้นมันเปิดโอกาสให้ผู้ใช้ได้ เอาชนะ Price Discrimination แบบเก่าๆ ในสินค้าและบริการบางประเภทเช่น ข้อมูลส่วนผสมเครื่องสำอางยี่ห้อต่างๆราคาซอสหอยนางรมในซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายๆที่เปิด โอกาสให้ผู้ใช้ได้เลือกโอกาสที่จะซื้อสินค้านั้นๆ ด้วยราคาที่พอใจที่สุด(ซึ่งโดยทั่วไปมักจะเป็นราคาที่ถูกหรือคุ้มค่าที่สุด ที่จะหาได้)

ทั้งนี้ทั้งนั้น มันไม่ได้ช่วยกำจัดกลยุทธ์ Price Discrimination ไปอย่างหมดสิ้นตราบใดที่มนุษย์ยังมี Perception ยังซื้อของด้วยความชอบยังมีเวลาที่จำกัดในการค้นคว้าข้อมูล ในการตัดสินใจซื้อยังมีความจำเป็นในการบริโภค ในสถานการณ์ที่จำกัดอยู่ซึ่งกลยุทธ์ Price Discrimination ก็ไม่ได้แปลว่าจะเอาเปรียบลูกค้าเสมอไปดังนั้น ถ้าใช้ให้ถูกทาง และไม่เอารัดเอาเปรียบนักกลยุทธ์นั้นๆก็สามารถจะอยู่ในตลาดได้อย่างมีความสุขต่อไป

ซึ่งในไอเดียของการซื้อของนั้นจริงอยู่ ราคาเป็นปัจจัยที่สำคัญและในสินค้าและบริการหลายๆอย่าง ราคาก็เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการตัดสินใจซื้อในแง่มุมของไอเดียการสร้าง บริการออนไลน์นั้นก็ไม่ได้แปลว่า ควรจะสร้างเว็บเพื่อเปรียบเทียบราคาสินค้าเป็นหลักเป็นตารางใหญ่ๆ ข้อมูลเยอะๆเพราะเว็บอย่างนั้นมีเป็นร้อยๆแล้วถ้าเรามั่นใจว่าเราทำให้แตกต่างได้ เราจึงควรจะเดินหน้าต่อ

ทั้งนี้ เรายังดูพฤติกรรมการบริโภคในแง่มุมอื่นๆได้อีกมากมีสินค้าและบริการอีกมากมายที่ราคาไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวในการตัดสินใจซื้อ ประสบการณ์ในการเลือกสินค้า ความชอบ ก็เป็นปัจจัยส่งเสริมเช่นกันในกรณีที่ถ้าเราจะซื้อของสักชิ้นด้วยความชอบเราต้องการที่จะรู้ข้อมูลอะไรบ้าง กิจกรรมอะไรบ้างที่เราทำในกระบวนการการตัดสินใจซื้อ เช่น etsy.com/buy.php?นำเสนอ การเลือกซื้อสินค้าแฮนด์เมดได้อย่างน่าสนใจมาก

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


Price Discrimination ที่แบ่งกลุ่มตามเวลา เช่น โปรโมชั่นมือถือ โทรนาทีแรก 5 บาท นาทีถัดไปนาทีละ 1 บาทราคาแตกต่างกัน ทั้งๆที่บริการมือถือในนาทีแรกและนาทีถัดๆไปก็เหมือนกันทุกประการแท็กซี่ ระยะแรก 35 บาท กิโลต่อไป กิโลเมตรละ 5 บาท
ราคาค่ากิโลเมตรแตกต่างกัน ทั้งๆที่มันก็เป็นเวลาที่เราติดแหงกอยู่บนรถแท็กซี่เหมือนๆกันตอนกิโลเมตรละ 5 บาท พี่แท็กซี่ก็ไม่ได้เปิดเพลงเพราะขึ้นซะหน่อย

ตัวอย่างที่ Daniel Hamermesh ได้ยกขึ้นไว้ในบล็อกของเขาก็คือหวีเล็มผม ในแคตตาล็อกของ Leonard?sหวีเล็มผมที่ใช้สำหรับคน ราคา $12.99หวีเล็มผมอันเดียวกันนี้ เมื่อกลายเป็นหวีเล็มผมสุนัข ราคาจะคิดอยู่ที่ $7.99

สิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดของเว็บแคตตาล็อกที่จะเป็นไปได้นั่นก็คือเอาสินค้า เดียว ที่ทำเป็นแยกเป็นสินค้าสองอัน ราคาต่างกัน มาไว้ที่? แคตตาล็อกเดียวกันและอาจจะใกล้กันเกิดไปยิ่งการ browse บนเว็บ ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกับการเดินไปที่ชั้นวางในห้าง
ถ้าสินค้านี้วางใน ห้าง ในแผนกที่ต่างกันผู้บริโภค อาจจะไม่เห็นถึงความเหมือนกันของสินค้าก็เป็นได้(แต่จากตัวอย่างนี้ คิดว่า ถึงผู้บริโภคจะเห็นว่ามันเป็นสินค้าที่มีลักษณะเหมือนกันมากแต่ก็จะมี Psychological Separation ตรงที่ เราจะคิดว่าสินค้าสองอันนี้ ต้องมีที่แตกต่างกันล่ะ เพราะคนกับหมาต่างกันมากอาจจะเป็นฟังก์ชั่นอะไรที่มองไม่เห็นด้วยตาก็เป็น ได้)

Price Discrimination ช่วยให้ผู้ขาย ได้รายได้สูงสุดจากลูกค้าคนหนึ่งๆราคาจึงตั้งตามระดับสูงสุดเท่าที่ลูกค้า หนึ่งๆในประเภทหนึ่งๆจะรับได้ในกรณีของ Dr.Leonard?s ลูกค้าที่ต้องการหวีเล็มผม ราคา $12.99อาจจะเป็นราคาสูงสุดที่พอจะรับได้ในการซื้อหวีไว้เล็มผมตัวเองแต่ สำหรับลูกค้าที่ต้องการหาหวีเล็มผมเพื่อสุนัขของตัวเองราคา $7.99 อาจจะเป็นราคาสูงสุดที่ลูกค้าจะยอมซื้อก็ได้ถ้าเราตั้งราคาหวีเล็มขนหมาไป ที่ราคาเดียวกับเล็มผมคนที่ $12.99 ยอดขายก็อาจจะตก ขายได้ไม่เท่ากับที่ควรจะเป็นก็ได้ในขณะเดียวกัน ถ้าเราตั้งราคาหวีเล็มผมคนมาอยู่ที่ $7.99 เช่นเดียวกันคนคงยินดีที่จะซื้อด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับได้สูงสุดมากแต่ก็ทำให้คนขายได้กำไรน้อยกว่ากำไรสูงสุดที่สามารถจะทำได้

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ในทางการขาย ของชิ้นหนึ่ง สามารถขายได้ด้วยกลยุทธ์หลายอย่างหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านราคา ด้านโปรโมชั่น ด้านโฆษณา หรืออื่นๆPrice Discrimination ก็เป็นกลยุทธ์ในการขายแบบที่มุ่งเน้นเล่นด้านราคาเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด หรือยอดขายมากที่สุด

Price Discrimination คือการที่ตั้งราคาสินค้าตัวเดียวกัน ให้แตกต่างกันตามกลุ่มลูกค้าซึ่งถ้าจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้อง ป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคสามารถหาซื้อสินค้าตัวนี้ได้ในราคาต่ำสุดที่กำหนดเอา ไว้โดยการแยกตลาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา หรือกลุ่มอายุ หรือประเภทของลูกค้าแบบใดๆ

ในวงการเครื่องสำอาง บางคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่าบริษัทผลิตเครื่องสำอางที่ใหญ่ๆ มักจะมีแบรนด์ย่อยๆต่างกันไปซึ่งบางแบรนด์ก็ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าจะผลิตออกมา จากบริษัทเดียวกันแต่ละแบรนด์ในบริษัทก็มักจะจับกลุ่มเป้าหมายไม่เหมือนกัน นั่นเป็นสาเหตุว่าสินค้าหนึ่งๆที่มาจากบริษัทเดียวกันแต่ติดแบรนด์ต่างกัน ราคาก็ต่างกันได้

แต่แบรนด์ที่ตั้งราคาสูงกว่า ทำไมยังมีคนซื้ออยู่ได้ แถมเยอะด้วยก็เพราะว่า ปรกติเขาไม่บอกกันเท่าไหร่ว่าแบรนด์ไหนมาจากโรงงานเดียวกันบ้างและ เครื่องสำอางนั้น คนซื้อเพราะเชื่อในเรื่องราวข้างหลังของมันถึงแม้เรื่องราวนั้นจะเป็นเรื่อง ราวเกี่ยวกับคุณภาพของมันก็เถอะ

Price Discrimination อย่างง่ายๆในบ้านเราอย่างเช่น ถ้าเราไปร้านป้าขายข้าวแกงถ้าเขาสนิทคุ้นเคยกับเรา เราอาจจะได้กับข้าวสามอย่างในราคายี่สิบบาทในขณะที่ลูกค้าขาจร ป้าแกจะคิดราคาที่สามสิบบาทนี่ก็เรียกว่าเป็นPrice Discrimination แบบตามประเภทของลูกค้าว่าเป็นประจำหรือจรหรือว่าอย่างในผับ หรือร้านอาหาร ที่มี Wednesday night หรือ lady?s nightวันพุธจะราคาถูกสุด หรือถ้าผู้หญิงมาวันนี้ จะได้ราคาที่ถูกกว่าผู้ชาย เป็นต้น

หรืออย่างในแมคโคร คาร์ฟูร์ แพลตตินั่มมอลล์Price Discrimination เกิดขึ้นเมื่อเราตัดสินใจซื้อของชิ้นเดียวที่มักจะแพงกว่าราคารวมเมื่อซื้อ สินค้าหลายชิ้นอันนี้ก็เรียกว่าเป็น Price Discrimination แบบตามประเภทจำนวนในการซื้อ ยิ่งซื้อมากยิ่งถูก
หรือถ้าเกี่ยวกับตั๋ว เครื่องบินก็อาจจะมีโปรโมชั่น บินไปกลับเชียงใหม่ 1 บาท ก็เป็นได้ทั้งๆที่พ้นช่วงนี้ไปแล้ว ขึ้นราคาเป็น 3,000 บาท มันก็บินไปกลับเชียงใหม่ได้เหมือนกัน

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ผมเคยได้อ่านข่าวบนเว็บไซต์สมัครงาน CareerBuilder.com เจอเรื่องที่โอ้แม่เจ้าไม่น่าเชื่อครับว่าจากสำรวจความคิดเห็นหัวหน้างานอเมริกันที่ทำหน้าที่พิจารณาตกลงรับคนเข้าทำงาน พบว่า 1 ใน 5 ของหัวหน้างานในกลุ่มตัวอย่างมีการเข้าไปชมบล็อก (blog) หรือเว็บไซต์เครือข่ายสังคมเพื่อศึกษานิสัยใจคอผู้สมัครให้มากขึ้น (บอกผมมาตรง ๆ ก็ครับว่าหัวหน้าบุคคลแอบเล่นhi5 แล้วมาห้ามผมเล่นทำไม) โดยมากกว่า 34 เปอร์เซ็นต์บอกว่าเคยตัดชื่อผู้สมัครออกทันทีหลังจากเข้าชมบล็อกแล้ว(เออ พี่ใช้อะไรมาคิดเนี่ยครับ พี่ครับ)

รายชื่อบุคคลอ้างอิง อาจจะเก่าเกินจะเป็นหลักฐานประกอบการพิจารณาเข้าทำงานแล้วสรุปต่อไปผมใครที่ ชอบเอากำนันไปยืนยันว่านาย ก. ลูกตามี หลายยายแม้น จะเส้นก๋วยจั๊บเข้ามาทำงานเริ่มที่จะยากมากขึ้น เพราะจากการสำรวจท่านหัวหน้างานกว่า 3,169 คนของเว็บไซต์สมัครงานออนไลน์ CareerBuilder.com พบว่ากว่า 22 เปอร์เซ็นต์มีการเข้าไปอ่านประวัติส่วนตัวในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมของผู้ สมัครงาน เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เคยสำรวจได้ 11 เปอร์เซ็นต์ในปี 2006 โดย 9 เปอร์เซ็นต์บอกว่า ยังไม่เคยเข้าไปหาข้อมูลผู้สมัครงานจากเว็บไซต์เครือข่ายสังคมอย่าง Facebook หรือ MySpace เลย แต่กำลังเตรียมการพิจารณาผู้สมัครด้วยวิธีนี้ในอนาคต(อย่านะครับคุณพี่บุคคล ผมรู้นะว่าคุณจะมาแอบดูสาว ๆ ในบัญชีเพื่อน ๆ ผม แม้แผนสูงจังนะตัวเอง)

โดยจุดที่น่าสนใจคือ การสำรวจพบว่า 34 เปอร์เซ็นต์ ของหัวหน้างานที่เข้าไปชมบล็อกของผู้สมัครแล้วไปพบคอนเทนท์"ด้านลบ"จนทำให้ สามารถตัดรายชื่อผู้สมัครรายนั้นออกอย่างไม่ลังเล เรื่องนี้การสำรวจพบว่า 41 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างมองว่าการโพสต์เล่าเรื่องการดื่มเหล้าและการใช้ ยาเสพติดบนบล็อกถือเป็นคอนเทนท์ด้านลบร้ายแรงอันดับหนึ่งคอนเทนท์ ด้านลบร้ายแรงอันดับสองคือการโพสต์ภาพที่แสดงถึงความก้าวร้าวและไม่เหมาะสม โดย 40 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มตัวอย่างเทคะแนนให้กับข้อนี้
ยังมีคอนเทนท์ด้านลบอื่นๆได้แก่ ข้อความที่แสดงว่าผู้โพสขาดทักษะการสื่อสาร, มีการหลอกลวงคุณสมบัติและวุฒิการศึกษา รวมถึงการแสดงทัศนคติที่แบ่งแยกเรื่องชาติพันธุ์ เพศ และศาสนา อย่างไรก็ตาม การ สำรวจยังพบว่าหัวหน้างานถึง 24 เปอร์เซ็นต์ที่ตกลงใจรับผู้สมัครเข้าทำงานทันทีที่ได้อ่าน บล็อคคอนเทนท์ด้านบวกอันดับหนึ่งอันดับเดียว คือคอนเทนท์ที่ให้ความรู้สึกว่าผู้สมัครมีทักษะการสื่อสารที่ดี ภาพลักษณ์ที่ดูมืออาชีพน่าเชื่อถือ และมีความสนใจในหลายเรื่องรอบตัว เหล่านี้ล้วนส่งเสริมให้ประวัติที่ผู้สมัครส่งเป็นหลักฐานนั้นมีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น

ซึ่งตอนนี้หัวหน้างานจำนวนมากใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบ คุณสมบัติผู้สมัครงาน เพื่อจะหาข้อมูลภาพรวมว่าผู้สมัครรายนั้นมีความเหมาะสมที่จะเข้าทำงานใน องค์กรหรือไม่ เพราะฉะนั้น ผู้หางานทั้งหลายควรจัดการประวัติบนเว็บเครือข่ายสังคมให้ดีใครคนไหนที่กิ๊ก มาตีกันก็ทำประวัติดี ๆ เพื่อภาพลักษ์ที่ดีขึ้นนะตัวเพราะพนักงานที่มีงานทำแล้วในสหรัฐฯ บอกว่าการพัฒนา???? คอนเทนท์และภาพพจน์บล็อกให้ดูมืออาชีพและน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จำไว้นะครับว่าคุณบรรดา นักล่างานไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง จำไว้นะครับ ภาพลักษ์ออนไลน์คุณดี โอกาศได้งานคุณก็มีมากขึ้นนะครับ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


2. PPC Pay Per Click Never Die

ยังไงๆ ก็แล้วแต่ ไม่ว่าใครจะว่า บิดสูง หรือ ถูกกดดันจากเจ้าของสินค้าเรื่อง ชื่อ หรือ คีย์เวิร์ดในการใช้ รวมถึง คำโฆษณาที่ใช้ต่างๆ ที่นับวันจะทำยากขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ยังไงๆ ก็ตาม เรายังสามารถที่จะใช้เจ้า PPC ในการทำมาหากินกับ Affiliate Marketing ได้อย่างสบายๆครับ แล้วต้องทำยังไงละ ถึงจะรับมือได้ในปีหน้าครับ มาดูๆ

PPC with Landing Page
ใช่แล้วครับ Landing Page หน้าสินค้าขอเราเอง เลิก!! ใช้ Landing Page จากเจ้าของสินค้าไปเลยครับ เหตุผลที่ต้องทำแบบนี้เพราะอะไรครับ??? ที่ต้องทำแบบนี้เพราะว่า เราต้องการให้ลูกค้ากลับมาหาเราอีกครั้ง เมื่อนึกถึงสินค้าชิ้นนั้น แม้ว่า สินค้าตัวนั้นอาจจะเป็นของ Amazon.com แต่เราสามารถสร้างแรงจูงใจในการทำให้เกิดการซื้อขายได้ครับ เพราะ Landing Page เราสร้างขึ้นมาเอง (มันมีหลักในการสร้าง และการปรับแต่งครับ ) แทนที่เราจะใช้ PPC ยิงไปที่หน้าสินค้าของ Affiliate Program เลย เราก็เปลี่ยนมาที่ Landing Page ของเราเองครับ ซึ่งอาจจะเป็น บล็อก หรือเว็บไซต์ก็ได้ครับ

ข้อดีของการทำ PPC with Landing Page คือเราสามารถพัฒนายอดขายได้ โดยการตรวจสอบจากยอดคลิกที่คนเข้ามาจาก PPC ในหน้า LAnding Page นั้นๆ และตรวจสอบยอดขาย หากไม่ดี เราก็ปรับแต่งไปเรื่อยๆจนสำเร็จครับ Conversion เท่าไหร่ก็ว่ากันไปครับ หวังว่าคงไม่งงนะครับ อิอิ จริงๆอยากลงลึกมากๆ แต่เด๋วจะไม่มีอะไรเขียน หุหุหุ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


B. Search Engine Ranking
อันนี้ยากกว่าข้อ A ครับ เพราการติดอันดับดีๆใน คีย์เวิร์ดที่มีแนวโน้มจะจูงใจในการซื้อ มันยากมาก ต้องทำ Link Building กันเป็นปี ครึ่งปีกว่าจะไต่อันดับได้ครับ สิ่งที่เหล่่า Blog จะสามารถทำได้คือ กลุ่มคนที่เป็นแฟนๆของบล็อก ติดตามบทความของเรา ชอบควาเป็นตัวของเรา ที่สำคัญ คอเดียวกัน!!! (ไม่ใช่คอหอยนะ เหอๆ) แต่หมายถึงชอบอะไรที่เหมือนๆกัน คล้ายๆแฟนคลับ แต่ตัวบล็อกเป็นศูนย์กลางแฟ่งการแลกเปลี่ยน เกี่ยวกับตัวสินค้าหรือ เนื้อหาต่างๆที่จูงใจในการซื้อสินค้าครับ (ชักจะยาวนะเนี๊ย)

เดี๋ยวขอสรุปเรื่อง Blog ๆ ๆ ด้วยตัวอย่าง ง่ายๆ ก่อนนะครับ
เช่น ผมจะทำบล็อกเกี่ยวกับ BATMAN เพราะความชอบโดยส่วนตัว ซึ่งเนื้อหาบล็อกอาจจะเป็นภาษาไทยก็ได้นะครับ ทีนี้ ผมมันเป็นแนพันธ์แท้ สะสมตุ๊กตา BATMAN แทบจะทุกตัวที่มีขายในประเทศไทย (ซึ่งก็มีน้อยที่เป็นของแท้ๆ) ทีนี้ผมจะทำบล็อกนี้ให้มันทำเงินได้ไง??? ไม่ยากครับ ผมก็อาจจะเขียนเนื้อหา ที่เกี่ยวกับ BATMAN ทุกๆอย่างๆ (เนื้อหาที่ไม่ได้ ก๊อปชาวบ้านมานะครับ) ทีนี้สินค้าของ BATMAN มันก็ออกมาบ่อยๆจากฝั่ง อเมริกา (ก็ Amazon.com อเมซอน นั่นแหละ) ของเยอะดี ผมก็เอาเรื่องสินค้าเหล่านั้นมาเขียน มาบรรยาย ยิ่งถ้าซื้อผ่าน Amzon.com ด้วยแล้ว ใส่ได้เต็มที่ครับ แต่ก็ต้องเขียนบทความให้มันน่าอ่านนะครับ เพื่อผลระยะยาว เพราะบล็อกนี้ที่เกี่ยวกับ BATMAN อาจเปลี่ยนชีวิต Blog ธรรมดาให้เป็นบล็อกทำเงินได้ไม่รู้จบ เป็นศูนย์กลาง BATMAN LOVER ในประเทศไทยกได้ครับ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ใช่แล้วครับ ไหนๆ โพล หรือข่าวจากทั่วโลกก็ประโคมกันออกมาว่า เศรษฐกิจมันจะแย่ในปีหน้า การค้าการค้าจะซบเซา พวกเราเหล่าคนทำ Affiliate Marketing หรือ Affiliate Programs ต่างๆนาๆ ตามแบบฉบับการเป็นตัวแทนนายหน้า โฆษณาขายสินค้านะครับ หรือ เพื่อนๆที่ทำ Contextual Ads อย่าง Google AdSense ด้วยนะครับ ผมขอเหมารวมไปเลยแล้วกันว่า พวกเราเป็น e-Business Marketer เข้าใจง่ายๆว่า ทำมาหากินออนไลน์ ด้วยธุรกิจอิเล็กทรอนิค แล้วกันนะครับ

สำหรับแนวทางนี้มันก็ไม่ได้ใหม่อะไรครับ แต่ผมเอามาจุดประเด็นให้มันเข้าใจง่าย

1. Blog Blog Blog
สำหรับเทรนปีหน้าคงไม่หนีปีนี้เช่นเดิมครับ บล็อกยังคงสามารถสร้างแรงจูงใจในการซื้อสินค้าต่างๆมากเพิ่มขึ้นครับ แต่!! การแข่งขันก็จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นครับ(ฟังดูแรงม๊ะ อิอิ) อยาไปซีเรียสครับ ทุกอย่างย่อมมีการแข่งขัน ทุกตลาดยังมีช่องว่างเสมอๆ สิ่งที่เพื่อนๆต้องปรับปรุงและเสริมทัพอย่างเร่งด่วนที่สุดคือ

A. Returned Visitors
อ่านแล้วคิดดูว่ายากไหม สำหรับผม..ยากครับ (ใครว่าง่ายบอกผมด้วย เหอๆ) การที่ผู้เยี่ยมชมจะแวะเวียนกลับมาหาบล็อกเราบ่อยๆนั้น บล็อกของคุณต้องเจ๋งจริงครับ ไม่ใช่เนื้อหาของบล็อก ไปเอามาจาก บทความคนอื่นทั้งหมด ซึ่งบอกตรงๆว่า มีคนทำกันเยอะแล้วครับแบบนี้ สิ่งที่เราต้องทำคือ ฉีกแนว ทำลายกำแพงที่มันกั้นความคิดเก่าๆออกไป (เขียนง่าย แต่ทำยากเน๊อะ)

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ข่าวดีสำหรับเพื่อนๆ ที่หารายได้ผ่านเน็ต แล้วต้องขึ้นเช็คทุกเดือน ต้องประสบปัญหา การขึ้นเงินล่าช้า เสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อ ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป

เมื่อทางธนาคารกรุงเทพได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการขึ้นเช็คเงินต่างประเทศที่ในปัจจุบันนี้มีความล่าช้า
ในการเรียกเก็บเงินเป็นอย่างมาก นั่นคือ เมื่อเพื่อนๆนำเช็คต่างประเทศไปขึ้นเงิน จะต้องรอให้ทางธนาคารส่งเช็คไปเรียกเก็บเงินกับธนาคารต้นทาง และเสียค่าธรรมเนียม 2 ต่อ รวมแล้วเป็นเงินกว่า $30 และใช้เวลานานถึง 30-45 วันกว่าจะสามารถเรียกเก็บเงินและใส่เงินเข้าไปในบัญชีของเพื่อนๆได้

ด้วยเหตุนี้ ทางธนาคารกรุงเทพ จึงได้จัด Campaign ใหม่ขึ้นมา เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เพื่อนๆพี่ๆผู้ทำ Affiliate ทุกคนที่รับเงินเป็นแบบเช็ค คือให้สามารถนำเช็คไปขึ้นที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาสำนักงานใหญ่ แผนกต่างประเทศ
(อยู่ตรงศาลาแดง ถ้าไปโดยรถไฟฟ้าBTS ลงสถานี ศาลาแดง)

การขึ้นเช็คกับธนาคารกรุงเทพสาขาสำนักงานใหญ่ มีข้อดีคือ ทางธนาคารจะใส่เงินเข้าบัญชีให้กับเพื่อนๆทันทีที่ขึ้นเช็ค และ เพื่อนๆสามารถกดเงินสดออกมาได้ทันที ไม่ต้องรอให้เสียเวลาอีกต่อไป ซึ่งตรงนี้ถือเป็นข้อดีอย่างมากทีเดียวครับ ซึ่งตอนนี้ทางพนักงานของธนาคารกรุงเทพ สาขาสำนักงานใหญ่ ทราบขั้นตอนการขึ้นเช็คดีแล้วครับ เพื่อนๆไม่ต้องบอกอะไรกับพนักงานเลยครับ เพียงแค่นำเช็คกับ สมุดบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงเทพ (สาขาอะไรก็ได้) ไปทำรายการที่สาขาสำนักงานใหญ่เท่านั้น

โดยสรุปนะครับ
1. ปัจจุบันนี้ ขึ้นเช็คกับธนาคารกรุงเทพ ได้รับเงินทันที
2. เช็คที่จะสามารถนำไปขึ้นแล้วได้รับเงินทันที (การขึ้นเช็คแบบนี้เรียกว่าการขึ้นเช็คแบบ Advanced) มีอยู่ 5 บริษัทด้วยกันคือ Amazon.com , CJ.com , Linkshare.com , Clickbank.com และ Google.com (Google Adsense)
3. ค่าธรรมเนียมการขึ้นเช็ค 203 บาท
4. ในขั้นต้น สามารถขึ้นเช็คได้ที่ยอดเงินไม่เกิน $500 แต่เมื่อขึ้นเช็คประจำแล้ว ทางธนาคารไว้ใจ มีเครดิตดีขึ้น ก็จะเพิ่มยอดให้ตามลำดับครับ
5. ปัจจุบันนี้ ขึ้นได้เพียงที่สาขาสำนักงานใหญ่เท่านั้น สาขาอื่นยังทำไม่ได้ แต่อนาคตไม่แน่ครับ
6. ใครที่ยังไม่มีบัญชีกับธนาคารกรุงเทพ รีบไปเปิดด่วนครับ เพราะได้ประโยชน์ 3 เด้งคือ สามารถใช้บัตร B-First ตัดเงินกับ YSM ได้ , สามารถขึ้นเงินเช็คได้เร็วกว่าธนาคารอื่น , สามารถรบเงินแบบ Direct Deposit ได้

ที่มา : ไทยเอสอีโอบอร์ดดอทคอม


วันนี้ผมได้เจอบทความเรื่องการค้นหา Niche Product เพื่อนำเอามาทำตลาด หวังว่าหลาย ๆ ท่านที่ทำAmazon น่าจะเอาไปเป็นเทคนิดเพิ่มขายสินค้าได้คล่องตัวมากขึ้นกันสักนิด Niche Product คือสินค้าที่จะสามารถทำตลาดได้ ไม่ว่าจะเป็นในระยะเวลาอันสั้นหรือ ระยะยาวก็ได้เช่นกัน สินค้าบางกลุ่มที่เรานำมาขายนั้นสามารถทำยอดขายได้ตลอดทั้งปี เช่นกลุ่มใหญ่ๆ อย่าง Apparel หรือกลุ่มสินค้าเกี่ยวกับเด็ก แต่ผมมีเคล็ดลับดีดีอย่างหนึ่งในการนำสินค้าต่างๆ เหล่านี้มาขายก็คือ ในช่วงแรกเมื่อเรานำมาโพสในบล็อก ของเราแล้วให้ลองสังเกตดูว่าหลังได้รับ Index แล้วมีการค้นหาหรือไม่ แล้วถ้ามีบ่อยแค่ไหนแล้วขายได้หรือเปล่า ให้จับตาดู Keywords นั้นๆ ให้ดีครับเพราะเราสามารถนำมาทำตลาดสินค้าตัวเดิมได้อีกโพสหนึ่งทีเดียวหละ ครับ

สินค้าที่ทำตลาดได้ดีนั้นไม่ได้คงที่เสมอไปนะครับ จะมีการปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ หรือแล้วแต่เทรนของสินค้านั้นๆ เป็นช่วงๆ ฉะนั้นอย่ายึดติดกับสินค้าบางตัวมากเกินไปเราควรทำสินค้าอื่นๆ เพิ่มเติมเข้ามาบ้างเล็กน้อย สำหรับเทคนิคของผมก็คือทำสินค้าเป็นกลุ่มๆ หรือหมวดๆ เพื่อค้นหา Niche Product ที่เราต้องการทำตลาดแบบเจาะจง เช่นเราอาจสร้าง aStore ที่ชื่อว่า apparel-20 ขึ้นมาแล้วนำสินค้าใน aStore ไปโพสผ่านบล็อก (ตามวิธีการที่ผมเคยแนะนำ) โพสไปเรื่อยๆ สักระยะหนึ่งเพื่อให้มีสินค้ามากพอ จากนั้นก็ให้ทำการส่ง URL ของบล็อกเราไปยัง blog directory ต่างๆ (เอาพอประมาณ ไม่ควรมากไป หรือน้อยไป) รอดูว่าได้รับการ Index จาก Google, Yahoo!, MSN (Live.com) หรือยังเมื่อได้รับ Index แล้วให้สังเกตว่าคนเข้าบล็อกของเรามาจากไหนกันบ้าง มาจาก Search Engine หรือว่ามาจาก URL

โดยทั่วไปแล้วถ้าเราโพสในบล็อกฟรีอย่าง Wordpress.com มักจะมาจาก URL เป็นส่วนใหญ่เพราะว่าสมาชิกต่างๆ แวะเข้ามาดูเรา ให้ทำงานในลักษณะนี้สัก 3 สัปดาห์ครับจะเริ่มมีการค้นหาผ่าน Search Engine ต่างๆ และเจอบล็อกของเรา และแน่นอนครับเขาจะเจอกับข้อมูลสินค้าของเราด้วยทำให้เกิดการคลิกเข้าไปยัง aStore ของเราโดยอัตโนมัติ จากนั้นให้สังเกตเรื่องของ Keyword ที่มาจาก SE ให้ดีครับว่ามาจากคำไหน (แสดงได้ว่าเราติดอันดับคำนั้นๆ ในอันดับที่ดีพอสมควร) จากนั้นให้นำ Keywords นั้นมาโพสเป็นชื่อโพสของเราใหม่อีกอันแล้วก็นำเอาสินค้าตัวเดิมนี่แหละ มาใส่ เพื่อรอดดูว่าจะขายได้หรือไม่ถ้าผ่านไปสักสัปดาห์แล้วมีการค้นหาด้วยคำเดิม ติดต่อกันสักสามถึงสี่วันโดยปกติจะขายได้แล้วถ้าเข้าไปใน aStore แต่ถ้าไม่ก็ยังขายไม่ได้แน่ๆ ให้รอดูสักระยะถ้าขายได้แสดงว่าสินค้าตัวนั้นเริ่มทำเงินแล้ว ให้รอดูปริมาณครับว่าได้กี่ชิ้น ได้ทุกวันหรือไม่ถ้าได้ทุกวันแสดงได้ว่านั่นคือ Niche Product ที่คุณสามารถทำเงินได้ในระยะนี้แล้วหละครับ

เมื่อเราได้สินค้าที่ทำเงินแล้ว เราก็ทำตามหลักการนี้ตั้งแต่แรกเหมือนเดิมครับเพื่อกรองเอาตัวทำเงิน เมื่อได้แล้วให้สังเกตุดูว่าสินค้านั้นๆ มีเป็นกลุ่มหรือไม่ถ้ามีก็เปิด aStore ในกลุ่มสินค้านั้นอีกอันได้เลยทันทีครับ รับรองว่าเพื่อนๆ จะสามารถขายสินค้านั้นได้อยู่เรื่อยๆ อย่างแน่นอนจากนั้นเราก็ค้นหาสินค้าอื่นๆ มาทำตลาดต่อไปเพื่อเพิ่มช่องทางการทำเงินของเราครับ เดี๋ยวในบทความหน้าผมจะสรุปเป็นข้อๆ ครับว่าเราทำอย่างไรกันบ้างเพื่อจะได้นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ครับ สำหรับวันนี้ผมคงขอไปพักผ่อนก่อนหละครับขอให้ทุกท่านมีความสุขและรวยๆ กันครับ บทความนี้ได้นำเนื้อหาบ้างส่วนมาจาก เมกเมนนี่ดอทคอม


* ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ทุกครั้งที่ลูกค้ามีปัญหาเรื่องการใช้งานคอมพิวเตอร์ บริษัท Architel บริษัทผู้ให้บริการด้าน IT Support ที่ผมเคยเล่าไว้่โพสก์ที่แล้ว จะนำปัญหานั้นขึ้นไปโพสก์ฺไว้เป็นโพสก์ใหม่ของ Blog เพื่อให้ลูกค้าเข้าไปในเว็บไซต์ของ Architel เพื่อให้ลุกค้าได้แก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องโทร.เข้ามาหาส่วน IT Support นั่นทำให้บริษัทลดภาระค่าใช้จ่ายในการจัดการปัญหาของลูกค้า และแก้ปัญหาได้รวดเร็ว

* Blog on a regular basis. เขียนอย่างสม่ำเสมอการ เขียน Blog อย่างสม่ำเสมอจะช่วยให้่คุณตามความเคลื่อนไหวของธุรกิจในวงการของคุณ และยังเป็นการรักษาความสม่ำเสมอในการติดต่อกับลูกค้าของคุณผ่านBlog นอกจากนี้ การเพิ่มเนื้อหาใหม่ ๆ บนBlog อยู่เสมอเปรียบเสมือนกับการป้อนอาหารให้ Search Engine อย่างสม่ำเสมอ นั่นย่อมส่งผลต่อการขึ้นอันดับสูงๆ ใน Seach Engineอย่างไรก็ดี การติดตาม ตอบคำถามต่อ Comment จากโพสก์เก่า ยังเป็นสิ่งที่ควรทำเพราะ แม้บางเรื่องในBlog ของคุณผ่านมาระยะแต่ยังมีลูกค้าที่สนใจฝากcomment ไว้ เพราะการตอบปัญหาลูกค้านั่นย่อมแสดงให้เห็นถึงความรับผิดชอบของคุณที่มีต่อ ลูกค้า

* ไม่เขียน Blog เมื่อไหร่
เมื่อคุณไม่มีเวลาเขียน Blog อย่างสม่ำเสมอน่ะซิครับ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่เขียนโพสก์ใหม่เลย แต่การกำหนดความถี่ในเขียนเป็นสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง เพื่ออัพเดทข้อมูลให้ลูกค้าของคุณทราบบ้างน่าจะเป็นการสมควรในการติดต่อ ลูกค้าผ่าน Blog เป็นระยะๆ หรือในกรณีที่ลูกค้าของคุณนิยมข่าวแบบ Word-Of-Mouth หรือประเภทเมาส์กันสนั่นเมืองและก็ไม่ค่อยสนคอมฯด้วย ความถี่ในการเขียน Blog ก็อาจลดลงไปโดยปริยาย

* ฺเครื่องมือสร้าง Blog พร้อมด้วยระบบ E-Commerce
จะหาได้่ที่ไหนกันล่ะ ? ตอบยากครับ เพราะยังไม่เห็น Blogging Software ตัวไหนที่จะมีระบบ Shopping Cart หรือ ระบบE-Commerceเต็มรูปแบบ

Newer Posts Older Posts Home