A Blogger by Beamcool

บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ การตลาด seo และ วิธีการ หาเงิน บน อินเตอร์เน็ต เทคนิคในการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต ( เราหมายถึงการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต จริง ๆ ที่ไม่ใช่การชวนเข้า mlm แต่อย่างใดครับ) รวมถึง บริการออนไลน์ ออฟไลน์ ต่าง ๆ ในเครือ Wittybuzz ไว้ด้วยกัน ใครที่เยี่ยมชมนี้ด้วย Internet Explorer แนะนำให้ดาวโหลด Firefox มาใช้จะดีกว่าครับ นอกจากลูกเล่นจะมีเยอะกว่า ยังมีเครื่องมือที่สนับสนุน SEO อีกด้วยครับ


ผมเคยลองทำเวบไซต์มาอย่างมากมาย ขุดขุ้ยเอาแต่ของคนอื่นมาลองทำดูไปเรื่อย และผมก็ได้บทสรุปว่า แบบนี้เข้าท่าดี เหอะๆ

ผม จำไม่ได้นะว่าผมเจอบทความนี้ที่ไหน แต่เป็นต่างประเทศนั้นละ ก๊อปเนื้อหามานานแล้ว เพิ่งมีโอกาสมาทดสอบทำำดูวันนี้ละ เขาบอกว่า 50 นาทีจากนี้ไปจะได้ 10 ลิ้งดี

ทำเสร็จไปอาบน้ำกลับมา เช็คดู อย่างแจ่ม หุหุ

อ้าวเริ่มกันเลยนะ

สร้างเวบขึ้นมาไม่ต้องใหญ่มากนักซัก 15-20 หน้าก็พอละ

1-ทำลิ้งภายใน การทำลิ้ง Keywords Content to Content ระหว่าง Pages Site ของคุณ ซัก 3-5 Link

2-ซับมิต ไปซับมิต ซะซักสองที่ (นะนำ)

all-linkdirectory.com

worldsiteindex.com ฟรีวันอังคาร- วันศุกร์ นะจ๊ะ อ้าววันนี้เลยลงมือได้

webotopia.org เวบนี้เสียเงินนะจ๊ะซิบอกให้ไ่ม่ต้องก็ได้

หรือ ลิ้งที่เวบเราที่มี PR สูงๆ ก็ได้นะ เพิ่มเข้าไปอีก (ห้ามเด็ดขาดสำหรับเวบที่ไม่มีPRหรือPR ต่ำกว่า2)ยิ่งมากยิ่งดี Dofollow เด้อ

แล้วไปต่อที่นี่เลย

3-ไปใส่ที่อยู่ให้ตัวเองซะ local.yahoo.com และ register.local.com/free/update.aspx ไปสร้างข้อมูล ธุกิจของคุณซะ (Business) สร้าง2ที่เลยนะ

4-ไปต่อที่ linkedin.com เพื่อสร้างข้อมูลในการแนะนำตัวเราเป็นมืออาชีพจริงๆ (โกหกไปเต๊อะ )หรือ Profile นั้นเอง สมาชิกที่นี้เยอะแยะเลยละนะ

ที่มา : nopp


จากบทความก่อนหน้านี้ผมได้พูดถึง AOM หรือ Associate-O-Matic? (สมาชิกในเว็บบอร์ด SEM.OR.TH เริ่มสนุกสนานกันพักใหญ่แล้วครับ)?ผมขอเรียกว่า AOM แล้วกันนะครับ เด๋วจะพิมพ์กันยาวๆ (จริงๆขี้เกียจเขียนครับ หุหุ)?วันนี้เราจะมาเรียนรู้ว่าวิธีการติดตั้งเจ้า AOM เนี่ยมันมีความยากแค่ไหนและเราจะเริ่มต้นสร้างร้านค้าออนไลน์ซักร้าน เพื่อขายสินค้าต่างๆจาก Amazon.com เนี่ยมันไม่ได้ยากอะไรมากมายเลย (จริงๆ แต่ส่วนใหญ่จะพลัดวันประกันพุ่งไปเรื่อยๆ?..เหมือนผม อิอิ) ก่อนที่เพื่อนๆจะตัดสินใจเข้ามาเล่นกับ AOM อาจจะต้องสำรวจความพร้อมกันก่อนนะครับ เพราะการสร้างร้านค้าในรูปแบบ สคริปอย่าง AOM นั้นมีค่าใช้จ่าย!!! ในส่วนของ Script? ซึ่งในปีแรกจะเสียค่าบริการ 99$ และ 20$ ต่อปี ในปีถัดไป แต่ๆๆๆๆ?..ถ้าซื้อตอนนี้เฮ้ยๆไม่ใช่ๆ อิอิ AOM มันมีเวอร์ชั่นฟรีครับ แต่ก็เสียค่าหัวคิวไปบ้าง (แค่ 10 % คิดง่ายๆ คนซื้อ 10 เราให้ AOM ไป 1 )

สำหรับวันนี้ผมขอยกตัวอย่างเว็บไซต์ทีสร้างโดย AOM ของผมเองเพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างและการทำตลาด นิช Niche ในแบบฉบับ การตลาดแบบฉบับ The Long Tail (ตลาดเฉพาะกลุ่มครับ) เป็นตลาดที่การซื้อขายเรื่อยๆตลอดทั้งปี ประมาณนี้นะครับ ผมว่าเรามาดูกันเลยครับ

ก่อนที่ผมจะเริ่มสร้างเว็บไซต์เพื่อขายสินค้าใน Amazon.com โดยใช้ AOM ในการดึงข้อมูลสินค้าและทำเป็นหน้าร้านนะครับ

1. วิจัยตลาด เลือกสินค้า กลุ่มสินค้า ที่จะต้องการจะขาย
ผมเลือก สินค้า เกี่ยวกับของเล่นทหารจำพวก โมเดลลิ่งต่างๆ เรื่องคู่แข่งมีเยอะครับ สินค้าพวก Toys Models ประมาณนี้ครับ โดยส่วนตัวผมว่ามันจะขายง่ายกว่าเว็บไซต์ที่รวมสินค้าทั้งหมดครับ

2. ค้นหาคียเวิร์ดเพื่อจดโดเมนเนม (ตามสูตร โดเมนเนม ที่เป็น คีย์เวิร์ด)
ผม ทำกการวิจัยตลาดของเล่นโมเดลทหาร และใข้คำว่า MilitaryModels ซึ่งผมค้นหาและเลือกคีย์ที่มี ผู้คนค้นหาบ้างและมีแนวโน้มที่สนใจเรื่องการเล่น และซื้อของเล่นที่เป็นโมเดลทหารครับ หลังจากวิเคราห์แล้วก็ได้คำว่า Military Models Kits เพื่อเอามาจดโดเมนเนมครับผม

หลังจากที่ได้โดเมนแล้วก็มาที่โฮสครับ อัพโหลด AOM ขึ้นไปแล้วก็บรรเลงการ Setup เข้าไปครับ ซึ่งเราสามารถที่จะทำหน้าตาเจ้า AOM ให้ดูดีได้จากการปรับแต่ง CSS นะครับ วันนี้ผมว่าขอจบก่อนดีกว่าครับ เพราะแค่วิธีการเลือกตลาดและจดโดเมนมันก็พอจะบอกอะไรได้หลายๆอย่างแล้วว่า เปอร์เซ็นที่จะขายได้นั้น มีแน่นอนครับ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม



วันนี้มีเรื่องให้ผมต้องล็อกอินเข้ามาที่บล็อก และเขียนเรื่องนี้ เรื่องที่กำลังฮอตสุดๆ ในเว็บบอร์ด sem.or.th และเว็บบอร์ดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำ Affiliate Marketing โดยใช้ PPC Pay Per Click ในการโปรโมทสินค้าครับ บาท่านเห็นหัวข้อที่ผมเขียนแล้วอาจจะ ฮา เพราะ Amazon.com มันเป็นเมียน้อยตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้ว Cj.com มันเป็นเมียหลวงตั้งแต่ตอนไหน?ผมเองก็ไม่รู้หรอกครับ รู้แต่เพียงว่า เพื่อนๆ ที่ทำ Affiliate Marketing กำลังกลับไปซบอก Cj.com เหมือนเดิมแล้วครับ อิอิ ผมว่ามาเข้าเรื่องเลยดีกว่าครับ เพราะอะไร Amazon.com ถึงต้องปฎิเสธ เหล่าตัวแทนที่ใช้ PPC Associate ต่างๆ ในการดึง Traffics เข้าไปซื้อสินค้า???

ตอนนี้ทาง Amazon.com ได้เปลี่ยนกฎใหม่สำหรับเหล่า Affiliate Marketers ที่ใช้ PPC ในการโปรโมท ขายamazon.com, amazon.ca และ endless.com ส่วน .co.uk ยังใช้งาน PPC เช่น Google AdWords Yahoo MSN ได้ตามปกติ (แต่อาจมีการเพิ่มกฎตัวนี้เข้าไปอีก) หลายๆคน คงรู้สึกช็อกกับข่าวในครั้งนี้ แต่เราจะทำอะไรได้???..นอกจากรับสภาพครับ สิ่งที่ทำให้ Amazon.com ต้องมาตัดคนช่วยขายเพราะอะไร?

-เพราะอยากได้กำไรมากขึ้น?

-เพราะอยากเอากำไรที่ต้องแบ่งให้ Publishers มาทำอย่างอื่น? เช่น การพัฒนาระบบ CRM

-เพราะเข้ามาทำ PPC เอง? (มันก็ทำอยู่นานแล้ว)

-เพราะ ว่าต้องการลดค่าใช้จ่าย ( ระบบตรวจสอบ?)

แต่ส่วนหนึ่งผมคิดว่า Amazon ต้องการลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับค่า นายหน้า ที่เสียให้กับเหล่า Affiliate Marketer ที่ใช้ PPC ในการโปรโมท Amazon อาจจะมองและวิเคราะห์ได้แล้วว่า มีศักยภาพพอที่จะทำเองได้อย่างสบายๆ หมดเวลาที่จะมาพึ่งพาเหล่า Affiliate Marketer ที่ใช้ PPC กันแล้ว ( แบบนี้มันฆ่าเพื่อนชัดๆ ) คนเราเคย วิน วิน ด้วยกันมา ดันมาทิ้งกันได้นะเนี่ย

หลังจากที่ Amazon.com เขาประกาศออกมาแล้ว เพื่อนๆในวงการ Affiliate Marketing ทั่วโลก ก็มีการพูด วิเคราห์ ระแวง ระวัง ว้าวุ่นใจไปต่างๆนาๆ เพราะถ้า Amazon.com เขาออกมาทำอะไรแบบนี้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่จะหนีไปทำ Amazon.co.uk หรือ Amazon.jp ด้วย PPC เหมือนเดิม แล้ววันหนึ่ง Amazon มันทำแบบเดิมอีก?ช้ำใจตายชักครับ ผมเองยังนั่งคิดไปเรื่อยๆ ว่า แล้วคนที่ไม่มี เว็บไซต์หรือบล็อก เขาจะทำกันยังไง?? สิ่งที่ผมคิดออกก็คือ

1. ไปหาสินค้าเจ๋งที่อื่นดู เช่น Cj.com, Linkshare , clickbank ถึงแม้มันดูจะเป็นอะไรที่ขายยากกว่า Amazon ก็ตองยอมละครับ

2. สร้าง บล็อก หรือเว็บไซต์เป็น Landing Page แล้วยิงไปหน้าสินค้าที่ Amazon อีกที

3. เลิกทำ ไปหากินกับ Adsense หรือ Contextaul Ads อื่นๆแทน ( น้อยหน่อยแต่กินยาวๆ)

4. ??..ยังรัก Amazon อพยพไป อังกฤษ หรือ ญี่ปุ่นแทน เหอๆ

5.?"?เลิกทำ ???..เหอๆ (ผมคนหนึ่งละที่ไม่ใช่ แบบข้อนี้)

ปล.(แต่รู้สึกว่า Blog / website ที่เราทำเป็น Landing Page เอง แต่ดึง Traffics มาจาก PPC น่าจะเข้าข่ายที่ถูกห้ามด้วยครับ)

ยังไงก็แล้วแต่ Jeff Bezos นายแน่มาก!! นายกล้าเตะเพื่อนที่ทำเงินให้ ตลอด 24 ชั่วโมง? ซึ้งจริงๆ ฮ่าๆ แต่ผมเข้าใจ Jeff Bezos เพราะการที่ Amazon ออกมาทำแบบนี้ มันต้องมีเหคุผลแน่นอนครับ สำหรับผม มันหมายถึง เทศกาลเผาจริง..มาเร็วกว่าที่คิด

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


สัดส่วนผู้หญิงและผู้ชายใกล้เคียงกัน?ช่วงอายุที่ใช้ Facebook มากที่สุดคือ 18 - 49? ตัวเลขนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับนักการตลาดที่ต้องการลงโฆษณาแบบ Ad Targeting

Randfish?และ David Klein, CEO ของ SEOmoz ให้คำแนะนำ กับ เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ เมื่อต้องการลงโฆษณากับ Facebook

* เทคโนโลยีแยก profile ของ Facebook ช่วยให้เราเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ตามต้องการ เช่น อายุ เพศ สถานศึกษา ประเทศ และความสนใจ
* Demographics ของ Facebook จะค่อนข้างถูกต้อง และตรงกลุ่มเป้าหมายที่เราเลือก
* ข้อมูลเจาะค่อนข้างลึก ในเชิงของ สถานศึกษา สถานที่ทำงาน ตรงนี้ค่อนข้างเป็นประโยชน์กับนักการตลาด
* Keyword จะต้องใส่ให้ตรงกับความสนใจ กับที่ผู้ใช้ให้ไว้ตอน register ไว้กับ Facebook
* 90% ของผู้ใช้ Facebook จะใส่ข้อความจริงของตนเอง

คำแนะนำเพิ่มเติม

* อย่าใช้ Facebook เป็นช่องทางเดียวของการทำโฆษณา
* ไม่ควรทุ่มเงินโฆษณาแบบทั้งคราวเดียวเล่นทั้งเดือน? ควรจำกัดเงินในแต่ละวัน แต่ละสัปดาห์?จนกว่าจะเข้าใจและสำรวจเป้าหมายที่ต้องการ
* หมั่นตรวจสอบผลลัพท์ในแต่ละวัน โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์แรก
* สุดสัปดาห์ (weekend)?จะเป็นช่วงเวลาที่คนใช้ Facebook น้องกว่าวันธรรมดา? สำหรับคนทำงาน อาจจะใช้เวลาตอนกลางคืนมากกว่ากลางวัน
* ลองเปลี่ยน creative ในสัปดาห์ถัดไป เพื่อเปรียบเทียบจำนวนคลิก และความสนใจของคนที่เห็นโฆษณา
* คิดให้เหมือนตัวเองเป็น User คนหนึ่ง? และคิดให้เหมือนผู้บริโภค และดูว่าตัวคุณเองจะสนใจโฆษณาที่ลงหรือไม่ เพราะอะไร
* มีบริษัทโฆษณาหลายบริษัทที่กำลังทำงานอย่างหนักเพื่อพัฒนาระบบโฆษณาบน Facebook ให้เข้ากับ Brands สินค้าใหญ่ๆ?? หากผลของโฆษณาไม่ประสบผลสำเร็จ ให้ลองกลับมาอีกครั้งในเดือนถัดไป เพราะ Facebook มักจะพัฒนาระบบโฆษณาของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ? บางทีครั้งหน้าอาจจะได้ผล

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ค้นหารูป

ก่อนอื่นต้องเรียนก่อนว่า การค้นหารูปนั้นควรจะใช้คำค้นหา (keywords) ที่เป็นภาษาอังกฤษ เพราะจะได้ผลลัพธ์มากกว่าภาษาไทย และเว็บที่เราอยากจะแนะนำสำหรับการค้นหารูป นั้น มี 2 รูปแบบ คือ ภาพถ่ายฝีมือช่างภาพมืออาชีพ และมือสมัครเล่น

www.compfight.com

เว็บไซต์นี้จะค้นหาภาพโดยการดึงเอารูปภาพจากคลังภาพออนไลน์อย่าง ฟลิกเกอร์ (Flickr) ที่เปิดให้ใครก็ได้มาเก็บภาพไว้ที่นี่ (จึงทำให้เว็บไซต์ฟลิกเกอร์เป็นเว็บไซต์แกลอรี่ภาพจากมือสมัครเล่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก)
โดย ผลการค้นหาของ compfight จะต่างจากการค้นหาที่เว็บฟลิกเกอร์ต้นฉบับก็คือ การแสดงผลภาพเป็นร้อยๆ ภาพในคราวเดียว ทำให้เลือกภาพได้ไวยิ่งขึ้น และยังสามารถปรับแต่งการค้นหาได้มากมาย เช่น การค้นหาจากชื่อ และรายละเอียดของภาพ หรือการค้นหาจากป้ายกำกับภาพ (Tags),การค้นหาภาพตามรูปแบบลิขสิทธ์ (Creative Commons), การค้นหาเฉพาะภาพที่มีความละเอียดสูง, และการค้นหาเฉพาะภาพที่เหมาะสมกับเยาวชน เป็นต้น

www.spffy.com

เว็บ นี้เป็นการค้นหาภาพที่ถ่ายจากมืออาชีพจริงๆ โดยค้นหาครั้งเดียว สามารถดูภาพจากคลังภาพออนไลน์เพื่อการใช้งานทางการค้า ที่มีชื่อเสียงอย่าง Getty Images, Corbis, Fotolia ฯลฯ ได้เลย ซึ่งเมื่อใดที่คุณพบภาพที่ต้องการสามารถสั่งซื้อภาพนั้นๆได้ทันที เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหาภาพประกอบเพื่อใช้งานเชิงพาณิชย์

ค้นหาเอกสาร


www.data-sheet.net
เว็บไซต์นี้มีหน้าตาเรียบๆ ไม่ต่างไปจาก "กูเกิล" แต่จะแสดงผลการค้นหาเป็นไฟล์เอกสารนามสกุล PDF เท่านั้น คุณสามารถพิมพ์คำค้นหาทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษได้ เมื่อเจอผลการค้นหาใดที่ต้องการดาวน์โหลด ให้คลิกขวา และเลือก Save Link As ได้ทันที ก็จะได้ไฟล์เอกสารมาเก็บไว้ในฮาร์ดดิสก์ทันที
เท่านั้นยังไม่พอเว็บไซต์นี้ยังมีผลการค้นหาในรูปแบบของภาพแถมเพิ่มมาที่ด้านล่างสุดของหน้าเพจแต่ละหน้าด้วย
นอก จากนี้แล้วก็ยังมีเว็บไซต์ที่เปิดให้ใครก็ได้เข้าไปอัปโหลดไฟล์เอกสารของตน เองที่ต้องการเผยแพร่สู่สาธารณะชนได้นำไปใช้ประโยชน์ นั่นคือ Scribd (ที่เราเคยรีวิวไปก่อนหน้านี้)

ค้นหาวิดีโอ

www.truveo.com

เป็นธรรมดาที่ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่จะคิดว่า "ยูทูบ (YouTube)" คือ สุดยอดเว็บวิดีโอสำหรับทศวรรษใหม่ในโลกอินเทอร์เน็ต แต่อีกหลายมุมของโลกนี้ก็มีการพัฒนาเว็บไซต์วิดีโอ ที่เปิดให้ใครก็ได้มาอัปโหลดผลงานวิดีโอของตนเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะชนได้ อาทิ Daily Motion (ของฝรั่งเศส), Tudou (ของจีน) และอื่นๆ อีกมาก
ดังนั้นจะดีแค่ไหนที่เราสามารถพิมพ์คำที่ต้องการหาแค่ครั้งเดียวแต่สามารถค้นหาได้กว่า 40 เว็บไซต์ที่เก็บวิดีโอเอาไว้!
ต้อง ขอบคุณ truveo จากบริษัทเอโอแอล (AOL) ที่ตั้งตนเป็นเว็บค้นหาวิดีโอโดยเฉพาะ โดยเว็บไซต์นี้จะดึงผลวิดีโอของกว่า 40 เว็บวิดีโอชื่อดังมาแสดงไว้ที่นี่ นอกจากนี้ยังสามารถค้นหาวิดีโอคลิปของ หนัง กีฬา ซีรีส์ดัง อย่าง ฮีโร่ (Heroes), ลอส (Lost) หรือแม้กระทั่งเรียลริตี้อเมริกันชื่อดังอย่าง อเมริกัน ไอดอล (American Idol) และ เฮล คิทเช่น (Hell's Kitchen) ได้
อย่าง ไรก็ดี เพื่อป้องกันการละเมิดลิขสิทธิ์ ในทุกครั้งที่คุณต้องการชมวิดีโอใดๆ ก็จะมีการลิงก์กลับไปยังเว็บต้นตอวิดีโออีกครั้งหนึ่ง

ค้นหาแบบมีรสชาติ

www.viewzi.com
Viewzi คือ เว็บค้นหาที่จะทำให้คุณลืมหน้าตาของ "กูเกิล.คอม" ไปแทบจะทันที ด้วยการแสดงผลการค้นหาที่หวือหวาและน่าตื่นเต้น ทั้งภาพ ข้อมูล และวิดีโอ ที่แตกต่างกันไปถึง 16 แบบ ทำให้คุณเพลิดเพลินกับการเซิร์ฟเน็ตอย่างหยุดไม่อยู่ อาทิ การแสดงผลการค้นหาตามลำดับเวลา (Timeline) การค้นหาข่าวที่แสดงผลเหมือนหน้าหนังสือพิมพ์ การดูภาพแบบสไลด์โชว์ การค้นหาเมนูอาหารน่าหม่ำ เป็นต้น ถึง แม้หลายเว็บไซต์ที่เราแนะนำไปข้างต้นจะอ้างอิงผลการค้นหาจากกูเกิล แต่ผู้ทำเว็บก็มีการตกแต่งผลการค้นหาให้แม่นยำ ตรงจุดมากยิ่งขึ้น โดยวิธีการใช้งานก็ยังง่ายเหมือนเดิม คือเพียงพิมพ์คำค้นหาลงไป
ฉะนั้นในโอกาสต่อไป ขอแค่มีอินเทอร์เน็ตอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าอะไรๆ คุณก็จะหาเจอแน่นอน!

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


คนทั่วโลกรู้จักและติดใจ "กูเกิล" จนทำให้คำว่า "กูเกิล" ไม่ได้เป็นเพียงแค่ชื่อแบรนด์ของบริษัทอินเทอร์เน็ตที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก แต่กลับเป็นชื่อของ "กริยา" ในการค้นหาข้อมูลบนโลกไซเบอร์ไปเสียแล้ว จึงมีคำพูดติดปากชาวเน็ตเวลาที่หาข้อมูลใดๆ ไม่เจอว่า "ลองกูเกิลดูหรือยัง?"

แต่วันนี้เรามีเว็บค้นหาที่เป็นทางเลือกใหม่ (Alternative Search Engine) สำหรับผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ช่วยให้คุณได้ผลลัพธ์ของสิ่งที่ต้องการค้นหาได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น เช่น หารูปก็จะได้รูป หาเพลงก็จะได้ฟังเพลง หาเอกสารก็จะได้ไฟล์ PDF โดยที่ไม่ต้องคลิกสารพัดลิงก์ไปมา พร้อมสแกนกันจนปวดตาอีกทีหนึ่ง

อย่างไรก็ดี สำหรับเซียนคอมฯ ที่รู้จักวิธีการ "แฮกกูเกิล" ด้วย การใส่โค้ดลับหลายสิบตัวลงไปในช่องค้นหาเพื่อที่จะได้ข้อมูลใดๆ จากกูเกิล ก็อยากให้มาลองใช้เว็บที่เราแนะนำในครั้งนี้ ไม่แน่อาจจะติดใจวิธีค้นหาแบบบ้านๆ แต่ได้ผลชะงัดก็เป็นได้

เว็บที่เราจะแนะนำในครั้งนี้จะแบ่งผลการค้นหาออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ คือ การค้นหา ภาพ เพลง วิดีโอ และเอกสาร
ถ้าคิดคีย์เวิร์ดเจ๋งๆ ได้แล้วก็ลุยกันเลย!

ค้นหาเพลง


www.songza.com
เป็น เว็บไซต์ที่ออกแบบมาให้ใช้งานได้ง่ายๆ ทุกครั้งที่พิมพ์คำค้นหาจะมีคำใกล้เคียงขึ้นมาแสดงให้ด้วย และทุกเพลงจะสามารถดูมิวสิกวิดีโอประกอบไปด้วยได้ เพราะเพลงที่ได้ฟังนั้นเป็นการดึงเสียงเพลงมาจากเว็บวิดีโอชื่อดังต่างๆ นั่นเอง สุดท้ายก็คือ สามารถคัดลอกโค้ดเพลงไปติดไว้ที่บล็อกของตัวเองได้อีกด้วย

www.midomi.com
สำหรับ คนที่มักประสบปัญหาอยากฟังเพลงใดเพลงหนึ่ง กลับนึกชื่อเพลงไม่ออก แต่สามารถร้องเพลงนั้นได้ เว็บนี้ก็เหมาะกับคุณเป็นที่สุด เพียงแค่คอมพิวเตอร์ของคุณมีไมค์ และเปล่งเสียงของตัวเองร้องเพลงนั้น ท่อนใดก็ได้ ประมาณ 10 วินาที ระบบก็จะค้นหาเพลงนั้นๆ หรือเพลงใกล้เคียงมาให้ด้วย
จาก ที่ทดลองสามารถหาเพลงทั้งไทย จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และฝรั่งได้หมด นอกจากนี้แล้วคุณยังฟังเสียงร้องเพลงของผู้ใช้คนอื่นๆ ที่ร่วมหาเพลงๆเดียวกับคุณได้ด้วย โดยคลิกที่ปุ่ม Play All Recordings
หมายเหตุ:
1. เมื่อใช้ครั้งแรก หลังจากคลิกที่ปุ่ม "Click and Sing or Hum" จะมีหน้าต่างเล็กๆ เปิดขึ้นมา โดยที่คุณจะต้องกด จะต้องกดปุ่ม "Allow" กับ Adobe Flash Player Setting ก่อน
2. ผู้ที่ใช้ไอโฟนสามารถโหลดโปรแกรมของ midomi มาลงที่เครื่องและใช้งานแบบเดียวกับการค้นหาเพลงผ่านเว็บด้วยการฮัม หรือร้องเพลงได้เลย ที่นี่ ?

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ผู้เผยแพร่โฆษณาของ AdSense ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำด้านคุณภาพของเว็บมาสเตอร์ที่แจ้งไว้ใน google.com/webmasters/guidelines.html#qualityลักษณะการทำงานของเว็บไซต์และโฆษณา
เว็บไซต์ ที่แสดงโฆษณา Google ควรจะง่ายสำหรับผู้ใช้ในการสำรวจและไม่ควรมีหน้าป๊อปอัปมากเกินไป ห้ามดัดแปลงรหัสของ AdSense และห้ามบิดเบือนรูปแบบโฆษณามาตรฐานไม่ว่าด้วยวิธีใด ซึ่ง Google ไม่ได้ให้การอนุญาตไว้อย่างชัดแจ้ง

เว็บไซต์ที่แสดงโฆษณา Google ต้องไม่มีป๊อปอัปหรือป๊อปอันเดอร์ที่ขัดขวางการสำรวจไซต์ เปลี่ยนการตั้งค่าของผู้ใช้ หรือเริ่มต้นดาวน์โหลด

รหัสใดๆ ของ AdSense ต้องเป็นการนำไปวางโดยตรงในหน้าเว็บโดยไม่มีการดัดแปลง ผู้เข้าร่วมโปรแกรม AdSense ไม่ได้รับอนุญาตให้แก้ไขส่วนใดๆ ของรหัสดังกล่าวหรือเปลี่ยนลักษณะการทำงาน การกำหนดเป้าหมาย หรือการแสดงโฆษณา ตัวอย่างเช่น การคลิกบนโฆษณาของ Google ต้องไม่ส่งผลให้มีการเรียกเปิดหน้าต่างใหม่ของเบราเซอร์
เว็บไซต์หรือ บุคคลอื่นต้องไม่แสดงโฆษณา, ช่องการค้นหา, ผลลัพธ์การค้นหา หรือปุ่มการแนะนำผลิตภัณฑ์ของเรา ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการทำงานของแอปพลิเคชันใดๆ เช่น แถบเครื่องมือ

ห้ามผสมรวมรหัส AdSense ในแอปพลิเคชัน
ห้าม โหลดหน้าเว็บที่มีรหัส AdSense ด้วยซอฟต์แวร์ที่สามารถเรียกป๊อปอัป, นำผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ที่ไม่ต้องการไป, แก้ไขการตั้งค่าเบราเซอร์ หรือขัดขวางการสำรวจเว็บไซต์ในลักษณะอื่น คุณมีหน้าที่ดำเนินการเพื่อไม่ให้มีเครือข่ายหรือพันธมิตรโฆษณาใช้วิธีที่ กล่าวมาเพื่อนำทราฟฟิกไปยังหน้าที่มีรหัส AdSense ของคุณ
การเสนอการแนะ นำผลิตภัณฑ์ต้องกระทำโดยไม่มีข้อผูกมัดหรือข้อกำหนดใดๆ กับผู้ใช้ ผู้เผยแพร่โฆษณาไม่สามารถชี้ชวนเพื่อขอที่อยู่อีเมลจากผู้ใช้โดยใช้ร่วมกับ หน่วยการแนะนำผลิตภัณฑ์ AdSense
ผู้เผยแพร่โฆษณาที่ใช้การโฆษณาออนไลน์เพื่อดึงทราฟฟิกไปยังหน้าที่แสดงโฆษณาของ Google ต้องปฏิบัติตามเจตนารมณ์ใน คำแนะนำเกี่ยวกับคุณภาพของหน้าที่มีการเชื่อมโยงไปถึง ของ Google ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณโฆษณาไซต์ที่เข้าร่วมในโครงการ AdSense การโฆษณาไม่ควรหลอกลวงผู้ใช้ ตำแหน่งของโฆษณา
AdSense เสนอรูปแบบโฆษณาและผลิตภัณฑ์เพื่อการโฆษณาหลายประเภท ขอแนะนำให้ผู้เผยแพร่ทดลองใช้การจัดวางในตำแหน่งต่างๆ โดยคำนึงถึงนโยบายต่อไปนี้:

ในแต่ละหน้าสามารถแสดงหน่วยโฆษณาได้ไม่เกินสามหน่วย
ในหน้าหนึ่งสามารถวางช่อง Google AdSense สำหรับการค้นหาได้มากที่สุดสองช่อง
ในแต่ละหน้าสามารถวางหน่วยลิงก์ได้ไม่เกินสามหน่วยเช่นกัน
ในหนึ่งหน้าสามารถแสดงหน่วยการแนะนำผลิตภัณฑ์จากได้มากถึงสามหน่วย นอกจากหน่วยโฆษณา, ช่องการค้นหา และหน่วยลิงก์ที่ระบุไว้ข้างต้น
หน้า ผลลัพธ์ของ AdSense สำหรับการค้นหาสามารถแสดงหน่วยลิงก์โฆษณาได้เพียงหนึ่งที่ เพิ่มเติมจากโฆษณา Google ที่ให้บริการพร้อมกับผลลัพธ์การค้นหา ห้ามแสดงโฆษณาอื่นๆ บนหน้าผลลัพธ์การค้นหาของคุณ
ห้ามแสดงโฆษณา Google หรือช่องการค้นหา Google ในป๊อปอัป, ป๊อปอันเดอร์ หรือในอีเมล
องค์ประกอบบนหน้าต้องไม่บังส่วนใดๆ ของโฆษณา
ห้ามวางโฆษณา Google บนหน้าใดๆ ที่ไม่ใช่เนื้อหา
ห้ามวางโฆษณา Google บนหน้าที่เผยแพร่เพื่อจุดประสงค์การแสดงโฆษณาโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเนื้อหาของหน้าจะเกี่ยวข้องหรือไม่ก็ตาม โฆษณาและบริการของคู่แข่ง
เพื่อ ป้องกันความสับสนของผู้ใช้ เราไม่อนุญาตให้เผยแพร่โฆษณา Google หรือช่องการค้นหาบนเว็บไซต์ที่มีโฆษณาหรือบริการอื่นรวมอยู่ โดยใช้การจัดรูปแบบและสีเหมือนกับโฆษณาหรือช่องการค้นหาของ Google บนเว็บไซต์นั้น แม้ว่าคุณสามารถขายโฆษณาโดยตรงบนเว็บไซต์ของคุณ แต่เป็นหน้าที่ของคุณที่รับรองว่าโฆษณาเหล่านี้จะไม่สับสนกับโฆษณา Google

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ต้องไม่ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ไปที่โฆษณาโดยใช้ลูกศรหรือลูกเล่นด้านกราฟิกอื่นๆ

ต้องไม่วางรูปภาพที่สร้างความเข้าใจผิด ควบคู่กับโฆษณาแต่ละชิ้น

ต้องไม่สนับสนุนเว็บไซต์ที่แสดงโฆษณาผ่านอีเมลขยะหรือโฆษณาอันไม่พึงประสงค์บนเว็บไซต์ของบุคคลอื่น

ต้องไม่ให้ค่าตอบแทนผู้ใช้ในการดูโฆษณาหรือดำเนินการค้นหา หรือเสนอที่จะให้ค่าตอบแทนแก่บุคคลอื่นเพื่อดำเนินการดังกล่าว

ต้อง ไม่วางป้ายกำกับข้อความที่อาจทำให้เข้าใจผิด บนหน่วยโฆษณา Google เช่น โฆษณาสามารถใช้ป้ายกำกับว่า ?ลิงก์ผู้สนับสนุน? แต่ไม่สามารถใช้ว่า ?เว็บไซต์ที่โปรดปราน? เนื้อหาเว็บไซต์

แม้ว่า Google จะนำเสนอการเข้าถึงเนื้อหาที่หลากหลายในดัชนีการค้นหา แต่ผู้เผยแพร่โฆษณาที่เข้าโปรแกรม AdSense สามารถจะวางโฆษณา Google บนเว็บไซต์ที่เป็นไปตามหลักเกณฑ์เนื้อหาของเราเท่านั้น และต้องไม่แสดงโฆษณาบนหน้าใดๆ ที่มีเนื้อหาหลักเป็นภาษาที่ไม่สนับสนุน

เว็บไซต์ที่แสดงโฆษณา Google จะต้องไม่มี:เนื้อหาที่แสดงความรุนแรง การเหยียดเชื้อชาติหรือต่อต้านบุคคล กลุ่ม หรือองค์กรใดๆภาพเปลือยหรือ เนื้อหาสำหรับผู้ใหญ่ เนื้อหาการเจาะระบบ/การแคร็ก ยาผิดกฎหมายและยาที่ห้ามครอบครอง ภาพอนาจาร เนื้อหาที่เกี่ยวกับการพนันหรือคาสิโน เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับโปรแกรมที่ให้ค่าตอบแทนแก่ผู้ใช้เพื่อให้คลิกโฆษณาหรือข้อเสนอการดำเนินการค้นหา การเปิดเว็บไซต์ หรือการอ่านอีเมล คำสำคัญที่มากเกินไป ซ้ำซ้อน หรือไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาหรือโค้ดของหน้าเว็บ เนื้อหาหรือโครงสร้างที่หลอกลวงหรือตบตาเพื่อช่วยเพิ่มอันดับในเครื่องมือค้นหาของเว็บไซต์ของคุณ เช่น PageRank ของเว็บไซต์ของคุณ

การขายหรือการส่งเสริมการขายอาวุธหรือกระสุน (เช่น อาวุธปืน มีดต่อสู้ เครื่องช็อตด้วยไฟฟ้า)
การขายหรือการส่งเสริมการขายเบียร์หรือสุรา
การขายหรือการส่งเสริมการขายยาสูบ หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับยาสูบ
การขายหรือการส่งเสริมการขายยาที่ต้องใช้ใบสั่งแพทย์
การขายหรือการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ที่ลอกเลียนแบบจากสินค้าผู้ออกแบบ
การขายหรือการแจกจ่ายภาคนิพนธ์หรือเรียงความของนักศึกษา

เนื้อหาอื่นๆ ที่ผิดกฎหมาย สนับสนุนกิจกรรมที่ผิดกฎหมาย หรือละเมิดสิทธิ์ทางกฎหมายของผู้อื่น เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์
ผู้ เผยแพร่เว็บไซต์ต้องไม่แสดงโฆษณา Google บนหน้าเว็บที่มีเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ เว้นแต่จะได้รับสิทธิ์ทางกฎหมายที่จำเป็นในการแสดงเนื้อหานั้น โปรดดู นโยบาย DMCA ของเราสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมคำแนะนำของเว็บมาสเตอร์

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ระบบ Internet Marketing ในประเทศไทยให้เจริญก้าวหน้า และไปสู่การยอมรับภาษาไทยจาก Google ขอร้องว่าอย่าพยายามโกง adsense กันเลยนะครับ เพราะจะมีผลกระทบมากมายมหาศาลทีเดียว ควรที่จะทำตามกฏของ adsense ดังต่อไปนี้

ผู้เผยแพร่โฆษณาที่เข้าร่วมในโปรแกรม AdSense ต้องปฏิบัติตามนโยบายต่อไปนี้ ขอให้คุณอ่านนโยบายเหล่านี้อย่างละเอียดและอ้างอิงถึงเอกสารนี้เป็นประจำ หากคุณไม่ปฏิบัติตามนโยบายเหล่านี้ เราอาจปิดการใช้งานการให้บริการโฆษณากับเว็บไซต์ของคุณ และ/หรือ ยกเลิกบัญชี AdSense ของคุณ แม้ว่าในหลายๆ กรณีเราจะยินดีประสานงานกับ

ผู้เผยแพร่โฆษณาเพื่อให้สามารถปฏิบัติตามนโยบาย เหล่านี้อย่างสอดคล้อง แต่เราขอสงวนสิทธิ์ในการปิดการใช้งานบัญชีใดๆ ได้ทุกเมื่อ หากบัญชีของคุณถูกปิดการใช้งาน คุณจะไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมในโปรแกรม AdSense อีก

โปรดทราบว่าเราอาจแก้ไขนโยบายของเราเมื่อใดก็ได้ และตาม ข้อตกลงและเงื่อนไข ของเรา คุณมีหน้าที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงและปฏิบัติตามนโยบายที่แจ้งไว้ในที่นี้จำนวนการคลิกและการแสดงผลที่ไม่ถูกต้อง

จำนวน การคลิกในโฆษณาของ Google ต้องเป็นผลลัพธ์จากความสนใจของผู้ใช้โดยแท้ ห้ามใช้วิธีการใดๆ เพื่อลักลอบสร้างจำนวนการคลิกหรือการแสดงผลในโฆษณา Google ของคุณ วิธีการที่ห้ามใช้เหล่านี้ รวมถึงแต่ไม่จำกัดเฉพาะ การคลิกหรือการทำให้เกิดการแสดงผลซ้ำๆ ด้วยตนเอง, การใช้ซอฟต์แวร์หุ่นยนต์, เครื่องมือสร้างการคลิกและการแสดงผลแบบอัตโนมัติ, บริการของบุคคลอื่นเพื่อสร้างการคลิกหรือการแสดงผล เช่น จ่ายต่อคลิก, จ่ายต่อเซิร์ฟ, เซิร์ฟอัตโนมัติ และโปรแกรมแลกเปลี่ยนคลิก หรือซอฟต์แวร์ทุจริตใดๆ โปรดทราบว่า การคลิกโฆษณาของคุณเองไม่ว่าด้วยเหตุผลใดเป็นสิ่งที่ไม่สามารถกระทำได้ หากไม่ปฏิบัติตามนโยบายนี้อาจส่งผลให้บัญชีของคุณถูกปิดการใช้งาน การสนับสนุนการคลิก

เพื่อ ให้มั่นใจว่าผู้ใช้และผู้โฆษณาได้รับประสบการณ์ในการใช้งานที่ดี ผู้เผยแพร่โฆษณาต้องไม่ขอให้ผู้ใช้คลิกที่โฆษณาบนเว็บไซต์ของตนหรืออาศัย วิธีหลอกลวงเพื่อนำมาซึ่งการคลิก ผู้เผยแพร่โฆษณาที่เข้าร่วมในโปรแกรม AdSense จะ:
ต้องไม่สนับสนุนให้ผู้ใช้คลิกที่โฆษณา Google โดยใช้ข้อความเช่น ?คลิกที่โฆษณา? ?สนับสนุนเรา? ?เยี่ยมชมลิงก์เหล่านี้? หรือข้อความอื่นๆ ที่คล้ายกัน

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


เมื่อครั้งที่แล้วได้กล่าวเกริ่นไว้ 3 ข้อ ซึ่งเราจึงมักจะเห็นหลายๆ แบรนด์เลือกที่จะดึงเอาสื่อดิจิตอลไปผสานกับสื่อหลักอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ วิทยุ สื่อกลางแจ้ง รวมไปถึงกิจกรรมการตลาดอื่นๆ โดยดึงเอาจุดแข็งของแต่ละสื่อมาประกอบกับเป็น Integrated Campaign

4. เก่าแต่ชัวร์ หรือใหม่หวือหวาน่าลุ้น ? สำหรับท่านนักการตลาดที่สนใจใช้สื่อนี้ ต้องบอกก่อนครับว่าจนถึงปัจจุบันสื่อนี้มีอายุเกือบ 10 ปีแล้ว บางท่านอาจคาดหวังว่าหากใช้สื่อดิจิตอลแล้ว จะต้องเห็นอะไรใหม่ๆ เสมอไป แต่ในความเป็นจริงแล้วหากท่านคาดหวังผลตอบรับที่แน่นอน เครื่องมือที่เลือกใช้อาจเป็นเครื่องมือแบบเดิมๆ เช่นการใช้แบนเนอร์โฆษณา หรือการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา เนื่องจากมีกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จมาก่อนมาก ท่านจึงคาดการณ์ความสำเร็จได้ ส่วนเครื่องมือที่ออกมาสู่ตลาดใหม่ๆ นั้น หากท่านจะเลือกใช้ อาจต้องเสี่ยงกับความไม่แน่นอนของผลตอบรับบ้าง แลกกับภาพลักษณ์ที่เป็นความหวือหวาแหวกแนวเป็นสมัยใหม่

5. ยึดมั่นกับวัตถุประสงค์ ? เช่นเดียวกับเครื่องมือการตลาดทั่วไปครับ เครื่องมือแต่ละตัว ก็มีลักษณะเฉพาะ เหมาะกับวัตถุประสงค์ของแคมเปญแต่ละแบบ เช่น ใครสนใจเรื่อง ผลตอบรับในแง่ยอดขาย การใช้เครื่องมือที่วัดผลได้ละเอียด เน้น ROI (เช่น Google Adwords หรือ ลงทุนติดตั้งตัววัดอย่าง Doubleclick) ก็ดูจะเหมาะมาก ส่วนถ้าใครสนใจเรื่องความรับรู้หรือ Awareness ท่านอาจต้องเลือกใช้แบนเนอร์โฆษณาลงในเว็บไซต์ที่มี ราคาต่อหน่วยการแสดงผลต่ำ ไม่ว่าจะเป็น ราคาต่อการแสดงผล (CPM) หรือราคาต่อคลิก (CPC) รวมถึงเว็บไซต์ที่มีจำนวนผู้เข้าชมสูง

6. อย่าแปลกใจเรื่องราคา ? สำหรับสื่อดิจิตอลในบ้านเรา ยังไม่ได้มีการจัดทำมาตรฐานของสื่อมากนัก โดยเฉพาะมาตรฐานด้านราคา เช่น เว็บไซต์เฉพาะทางแต่ละรายยังมีแนวคิดในการตั้งราคาต่างกันมาก (หรือบางเว็บไซต์อาจไม่ทราบวิธีการตั้งราคาเลยด้วยซ้ำ) ส่วนเว็บพอร์ทัลใหญ่ๆ ส่วนใหญ่มีนโยบายราคาชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติแล้วการเสนอราคารวมทั้งส่วนลด ยังมีความยืดหยุ่นสูงขึ้นกับพนักงานขายแต่ละคน ดังนั้น ราคาที่ได้เสนอเข้ามาในแต่ละครั้งอาจมีความแตกต่างกันได้มาก อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับสื่อชนิดอื่นๆ ยิ่งซื้อมากยิ่งได้รับส่วนลดมาก หลายๆ แบรนด์จึงเลือกซื้อสื่อผ่านทาง Media Agency เพื่อให้ได้ราคาถูกลง

และข้อ 7 ทิ้งท้ายบทความฉบับนี้ไว้ด้วย ภาษิตจีน ที่ผมขอคัดลอกต่อมาจากผู้ใหญ่ในวงการโฆษณาอีกท่านหนึ่งว่า I hear ? and I forgetI see ? and I rememberI do ? and I understandหากท่านสนใจอยากทำความเข้าใจสื่อดิจิตอล ? ละสายตาจากบทความนี้ แล้วเตรียมตัวออก สตาร์ทแคมเปญแรกของท่านกันดีกว่าครับ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ปี 2551 ที่ผ่านมานี้ เชื่อเหลือเกินครับว่าพวกเราทุกท่านจะได้เห็นแคมเปญการตลาด ของแบรนด์ต่างๆ เพิ่มขึ้นอีกมากในสื่อดิจิตอล บางแบรนด์ที่เริ่มต้นทำมานานแล้ว สะสมความรู้ไว้มาก ยิ่งทำก็ยิ่งได้ผลตอบรับดีมากขึ้น บางแบรนด์ก็เพิ่งจะจัดสรรงบประมาณมาทดลองสื่อดิจิตอลนี้ บางแบรนด์มั่นใจเต็มที่ บางแบรนด์ผู้ใหญ่สั่งมา และบางแบรนด์ยังกล้าๆ กลัวๆ ฉบับนี้จึงขอฝากเรื่องน่ารู้สำหรับท่านที่สนใจเริ่มใช้สื่อนี้ (รวมถึงหลายท่านที่ใช้งานอยู่ เชิญพิจารณาครับว่าตรงกับสิ่งที่ท่านคิดหรือทำอยู่หรือเปล่า)

1. สื่อดิจิตอล ทำไม่ได้ทุกอย่าง ?ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในบ้างเรามีแค่ 10 ล้านคน เทียบกับประชากรทั้งหมดยังน้อยอยู่เลย เพราะอย่างนั้นถ้าหวังผลวงกว้างเหมือนการใช้โทรทัศน์ คงเป็นไปไม่ได้ (แต่ถ้าสนใจกลุ่มเฉพาะ 15-29 กรุงเทพฯ ละก็ ใช้ได้ไม่เลวเลยครับ วัยรุ่นบางคนไม่ดูทีวีแล้ว ส่วนคนทำงานหลายคนอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในที่ทำงาน มากกว่าอยู่หน้าจอทีวีหลายเท่าตัวนัก) ส่วนโทรศัพท์มือถือนั้นมีคนใช้มากถึง 35 ล้านคน แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเรื่องอุปกรณ์ และโครงข่าย ทำให้ไม่สามารถทำงานโฆษณาที่เน้นภาพเสียงสมบูรณ์แบบได้

2. แต่สื่อดิจิตอลทำบางอย่างที่สื่ออื่นทำไม่ได้ ? สื่อสารสองทางแบบทันทีทันใด (Interactivity) เข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นรายบุคคล (Identifiable) จัดสรรข้อความโฆษณาที่เหมาะกับแต่ละคนได้ (Personalization) เป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลได้อย่างดี (Database Collection) นำเสนอโฆษณาในเวลาที่ผู้บริโภคต้องการและกำลังค้นหา (Search Engine Marketing) ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และข้อความได้อย่างรวดเร็ว ภายใต้งบประมาณจำกัด (Real-time monitoring & Adjustment) ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเอกลักษณ์ของสื่อดิจิตอล ที่เราหาไม่ได้ในสื่อชนิดอื่น

3. เน้นผลตอบรับ (ROI) เชิญทางนี้ ? หลายคนบอกกันว่าสื่อนี้เชื่อถือได้ยาก เพราะวัดผลไม่ได้ ฟังแล้วก็น่าแปลกใจครับ เพราะสื่อนี้วางอยู่บนพื้นฐานของเทคโนโลยี ทุกการเคลื่อนไหวปรับเปลี่ยน ทุกการตอบสนองของผู้บริโภคเราสามารถบันทึกไว้ในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้ทั้ง หมด อย่างไรก็ตามเราต้องไม่ลืมนิยามตัววัดที่จะใช้ และจัดเตรียมระบบการวัดผลในขั้นตอนต่างๆ ให้ครบถ้วน

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


Self-actualization

ความต้องการในข้อนี้ค่อนข้างเป็นนามธรรมและเข้าใจได้ยาก มาสโลวอธิบายว่าการที่มนุษย์จะมีความต้องการในข้อนี้ได้นั้น เขาจะต้องได้รับการตอบสนองความต้องการ 4 ข้อก่อนหน้านี้มาแล้ว จากนั้นเขาถึงจะต้องการการตระหนักและยอมรับถึงความเป็นจริงด้วยตนเอง โดยปราศจากอคติใดๆ ถ้าพูดแบบพุทธ นี่ก็คือความต้องการให้จิตตนเองเป็นธรรม มีความเป็นกลาง ยอมรับในอริยสัจ และแสวงหาทางพ้นทุกข์

คงไม่มีเว็บไซต์ใดที่จะตอบสนองความต้องการในข้อนี้ได้ เพราะเป็นเรื่องของ ?ตนเอง? ล้วนๆ ส่วนเว็บเป็นปัจจัยภายนอก
การตอบสนองความต้องการที่เหนือกว่าคู่แข่ง

เว็บไซต์ที่จะเอาชนะคู่แข่งได้นั้นจะต้องมีวิธีการตอบสนองความต้องการของ มนุษย์ที่ดีกว่า ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือเว็บ Social Network ในบ้านเราที่ Hi5 นำคู่แข่งอยู่ไกล ขณะที่ในระดับโลกนั้น Facebook เป็นเบอร์หนึ่งแล้ว ทำไมจึงเป็นเช่นนี้?

ตอบได้ง่ายๆ ว่า Hi5 สามารถตอบสนองความต้องการในข้อ Love/Belonging ได้ดีกว่า Facebook เพราะคนไทยมีเพื่อนที่เล่น Hi5 มากกว่าเพื่อนที่เล่น Facebook ในเมื่อเขาต้องการสังคม ต้องการเพื่อน เขาจึงเลือก Hi5 นี่ถือเป็น First-mover advantage ของ Hi5 ในประเทศไทย

แต่ใช่ว่า Facebook จะตีตื้นขึ้นมาสู้ไม่ได้ ตอนนี้คนไทยหลายๆ คนที่มี Hi5 อยู่แล้ว แต่กลับใช้เวลาอยู่บน Facebook นานกว่า นั่นเป็นเพราะว่า Hi5 อาจจะชนะในแง่ ?ปริมาณ? เพื่อนของเรา แต่ Facebook เหนือกว่าในด้านความหลากหลายของกิจกรรมทางสังคม สำหรับบางคนแล้ว จำนวนเพื่อนอาจจะไม่ได้ตอบสนองความต้องการทางสังคมของเขาได้ เพราะเขาอาจจะต้องการกิจกรรมที่มากกว่าการเมนต์กันไปเมนต์กันมา ซึ่ง Facebook คือคำตอบของเขา

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ความต้องการพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ก็คือความต้องการทางกายภาพ เราต้องหายใจ ต้องกินข้าว ต้องดื่มน้ำ ต้องมีเพศสัมพันธ์ ต้องขับถ่าย

เว็บส่วนใหญ่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการข้อนี้ได้ เพราะเว็บเป็นเพียงข้อมูลและสัญญาณไฟฟ้าที่จับต้องไม่ได้ แต่อาจจะมีบางเว็บที่ตอบสนองความต้องการทางเพศได้ นั่นก็คือเว็บโป๊
Safety

มนุษย์ต้องการความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในด้านต่างๆ ทั้งความรู้สึกปลอดภัยทางร่างกาย ความมั่นคงในหน้าที่การงาน การเงิน มีสุขภาพแข็งแรง ปลอดจากโรคภัย

มีเว็บไซต์จำนวนมากที่ตอบสนองความต้องการในข้อนี้ได้ หลายเว็บเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงได้ เช่น eBay, Amazon หลายเว็บมีเนื้อหาเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพ
Love/Belonging

มนุษย์มีความต้องการทางสังคม ต้องการเพื่อน ต้องมีครอบครัวคอยสนับสนุน และต้องการความรู้สึกรักใคร่

เว็บไซต์ประเภท Social Network สามารถตอบสนองความต้องการข้อนี้ได้อย่างชัดเจน การเมนต์ใน Hi5 ของเพื่อนดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่มีสาระ แต่นั่นเป็นการกระทำที่แสดงออกให้เห็นว่ามันเป็นความต้องการของมนุษย์ที่ อยากมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน

เว็บหาคู่ก็เกิดขึ้นมาได้เพราะความต้องการความรู้สึกรักใคร่ เว็บบอร์ด Twitter และโปรแกรมแชทต่างๆ ก็ตอบสนองความต้องการในข้อนี้เช่นกัน
Esteem

มนุษย์ต้องการความรู้สึกยกย่องนับถือ ทั้งการยอมรับและภาคภูมิใจในตนเอง และการได้รับการยกย่องสรรเสริญจากผู้อื่น

เว็บไซต์ประเภทบล็อกเกิดขึ้นมาได้เพราะเจ้าของบล็อกต้องการนำเสนอตัวตน ของเขา เขาเขียนบล็อกเพราะอยากได้รับการยอมรับจากผู้อื่น (แน่นอนว่าหลายคนเขียนบล็อกก็เพราะความต้องการทางสังคมกับเพื่อนฝูงในข้อ Love/Belonging และบางคนก็เขียนบล็อกเพื่อรายได้ในข้อ Safety ด้วย)

สาวสวยบางคนชอบโพสต์รูปตัวเองใน Hi5 เพราะเธอรู้สึกภาคภูมิใจในรูปร่างหน้าตาของตนเอง และเธอก็หวังว่าหนุ่มๆ จะเข้ามาเมนต์ชมเชยความงามของเธอด้วย

เกมบนเว็บไซต์มักจะมี Hall of fame ที่แสดงรายชื่อของผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุด เพราะผู้สร้างเกมรู้ดีว่าผู้เล่นมีความต้องการให้ผู้อื่นยอมรับในความสามารถ ของตนเอง

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ในยุคของ User-generated content แต่ละเว็บไซต์ต่างก็สร้างเว็บให้เป็น Platform ออกมาแข่งขันกันเต็มไปหมด ทุกเว็บมีสิ่งที่เหมือนๆ กันคือการเปิดให้ผู้ใช้เว็บสามารถสร้างเนื้อหาขึ้นมาเองได้ แต่ใช่ว่าเว็บที่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเนื้อหาได้จะต้องประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะผู้ใช้เองก็มีคำถามว่าแล้วทำไมฉันจะต้องสร้างเนื้อหาขึ้นบนเว็บนี้ด้วย ล่ะ?

ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดก็คือเว็บประเภท Social Network ที่ผุดขึ้นมากมายเต็มไปหมด ใครที่เล่น Windows Live Messenger (MSN) และมีเพื่อนอยู่เยอะๆ ก็จะพบว่าตัวเองมักจะได้รับอีเมลเชิญชวนให้เข้าไปสมัครสมาชิกของเว็บ Social Network อยู่เรื่อยๆ ซึ่งหลายคนที่ได้รับอีเมลแบบนี้แล้วก็มักจะเพิกเฉย เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายที่ต้องสมัครเว็บนั้นเว็บนี้ อยู่เรื่อย พอสมัครแล้วก็ต้องอัปโหลดรูป เขียนแนะนำตัวเอง ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำไปทำไมในเมื่อตัวเองก็มีโพรไฟล์เหล่านี้อยู่บน Hi5 อยู่แล้ว

การที่ผู้ใช้จะใช้บริการเว็บไซต์ใด เขาจะตัดสินใจจากสิ่งที่เว็บไซต์นั้นตอบสนองให้แก่เขา แล้วอะไรคือสิ่งที่ผู้ใช้ต้องการจากเว็บไซต์ล่ะ?

การอธิบายถึงความต้องการของผู้ใช้นั้นมีอยู่หลายทฤษฎี ทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจซึ่งเป็นทฤษฎีที่ถูกพูดถึงตั้งแต่ปี 1943 ก่อนที่จะมีคอมพิวเตอร์เครื่องแรกซะอีก แต่ก็เป็นทฤษฎีที่ยังใช้งานได้ในปัจจุบัน และสามารถประยุกต์ใช้กับการวิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้เว็บได้ด้วย นั่นก็คือทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว (Maslow?s hierarchy of needs) ซึ่งคิดค้นโดยนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่ชื่อ Abraham Maslow เจอตั้งแต่เด็กยันแ่ก่จริง ๆ ทฤษฏีนี้ 555 อ่ะมาเข้าเรื่องกันต่อ

มาสโลวนำเสนอทฤษฎีของเขาผ่านรูปสามเหลี่ยมพีระมิดที่แบ่งออกเป็น 5 ชั้น ชั้นที่อยู่ใกล้ฐานพีระมิดบ่งบอกถึงความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ ถ้าไม่มีก็อยู่ไม่ได้ ส่วนชั้นที่อยู่ใกล้ยอดพีระมิดหมายถึงความต้องการที่เป็นนามธรรม เป็นเรื่องของความรู้สึกและจิตใจ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


ทำไม Landing Page มันถึงมีความสำคัญนักหนา? มันสำคัญเพราะว่า มันคือหน้าเว็บเพจที่จะแสดงข้อมูลทุกอย่างของสินค้าตัวนั้น ที่เรากำลังเสนอขายอยู่ เพื่อให้ลูกค้านั้นตกลงปลงใจ ซื้อสินค้าครับ หากว่าเราเองได้แต่ยัดเอาข้อมูล ที่คิดว่าใช่ หรือข้อมูลมากมายก่ายกอง จนลืมนึกไปว่า..เฮ้ยคนที่เขาเข้ามา...เขาต้องการอะไร? และ เข้ามาที่ Landing Page ได้ยังไง?

โดย ทั่วไปแล้ว หน้า Landing Page คือหน้าที่ผู้เยี่ยมชมคลิกเข้ามาเอง โดยอาจมาจากโฆษณาใน PPC หรือ SEO จากการโปรโมทหน้านั้นๆ ของเรา เพราะ ฉนั้นเราต้องไล่เรียงความสำคัญว่า Landing Page ของเรานั้นต้องการนำเสนออะไรด้วย และเราหวังอะไรจากผู้เยี่ยมชม เช่น

1. กรอกแบบฟอร์ม (โดยปกติผู้คนมักไม่ชอบการกรอกแบบฟอร์ม)

2.ให้ข้อมูลชื่อที่อยู่ต่างๆ และอีเมลย์เพื่อการทำการตลาด (โดยปกติผู้คนมักไม่ชอบกให้รายละเอียดออนไลน์)

3. ให้อ่านข้อมูลสรรพคุณสินค้ามากมาย( โดยปกติข้อมูลที่ผู้เยี่ยมชมไม่สนใจ จะไม่ชอบอ่าน)

4. ยัดเยียดให้ซื้อสินค้า ( การสแปมหรือผลักดันด้วย ปุ่มสั่งซื้อมากจนเกินไป ผู้เข้าชมไม่ชอบครับ)

นั่น อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้เราไม่สามารถปิดการขาย หรือสำเร็จผล ตามจุดประสงค์ที่เราต้องการจากเจ้า Landing Page ครับ แล้วอะไรละที่เราต้องแก้ไข?.............คิดกลับกันซิ...คิดว่าเราคือผู้เยี่ยมชมครับ...ถามตัวเราเองว่าต้องการแบบไหน
ลองตอบคำถามง่ายๆเหล่านี้ดู เช่น

1. ใช่ที่นี่หรอ? เรามาถูกทีหรือเปล่า?

2. อ่าสินค้าตัวนี้มันจะทำได้แบบที่เขียนหรอ?

3. หรือเราจะย้อนกลับไปดูจากที่ๆเราผ่านมาไหม?

4. เอ๋เว็บนี้มันน่าเชื่อถือไหนเนี่ย?

5. จะใช้เวลานานแค่ไหนกว่าของจะส่งมา?

6. เราจะโดนแฮกข้อมูลบัตรเคริตรไหมหว่า?

7. มีเบอร์ติดต่อหรอเปล่า?

แล้วก็อีกหลายๆคำถามในใจครับ เราต้องตอบโจนท์เหล่านี้ให้ได้ ถ้าทำได้ Landing Page ของเราก็จะมีความสมบูรณ์พอที่จะปิดการขายได้ครับ ซึ่งปัญหาของมันคือ ทำยังไงจะทำให้ลูกค้าของเรา ตกลงกดคำสั่งซื้อครับ จึงเป็นที่มาของการปรับปรุง รังสรรค์? เจ้า Landing Page กันอย่างมีหลักการ พูดง่ายๆว่า กลายเป็นเรื่องราวขึ้นมา คล้ายศาสตร์แขนงใหม่ ของเรื่อง Landing Page แลนดิ้ง เพจ

ซึ่ง ก็ต้องมานั่งศึกษากันอีกครับ เช่น การดูปรับปรุงเนื้อหา, ดูสื่อมีเดีย เช่น ภาพ มันจะโดนไหม วีดีคลิปกระต้นการซื้อหรือเปล่า? การออกบบสี การวางเลย์เอาท์ และอีกหลายๆๆอย่าง.....แต่ท้ายๆสุด น่าจะอยู่ที่ตัวสินค้า หรือบริการเป็นหลักครับ ว่ามันดีพอไหม

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม

Newer Posts Older Posts Home