Viral Marketing ไม่ใช่อะไรที่ไกลตัว หรือเป็นของใหม่บนเว็บเลย
ฟังก์ชั่น Email to Friend, Trackback, Embed URL
ก็เป็นการตลาดแบบ Viral Marketing เช่นกัน
หรือเว็บอย่าง Del.icio.us, Digg, Zickr, Fwddr
ก็เป็นโอกาสของการตลาดแบบปากต่อปากทั้งนั้น
ข้อดีของ Viral Marketing ก็คือ
เป็นการตลาดแบบ Customer-driven
ลูกค้าเต็มใจที่จะรับข่าวสารนั้น
และข่าวสารที่ลูกค้าเต็มใจรับเอง เพราะเพื่อนบอกมา
ลูกค้าก็มักจะให้การต้อนรับมันดีกว่าข่าวสารที่ถูกยัดให้เห็นให้ฟัง
และยิ่งถึงยุคที่ผู้ใช้คัดเลือกข้อมูลที่จะรับรู้เอง
Viral Marketing ก็ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น
บริษัทสื่อผู้บริโภคด้านสุขภาพ MedTrackAlert ได้ร่วมกับ CNET
ในการพัฒนาเครื่องมือวัดคุณภาพแนวโน้มที่ข้อความโฆษณานั้นๆจะถูกบอกต่อ
ไม่ว่าจะเป็นทางออนไลน์หรือออฟไลน์
เครื่องมือนี้ ใช้ Shareability scale หรือมาตรวัดของความสามารถในการแชร์
ซึ่งแจกให้ลูกค้าในกลุ่มผู้ทดสอบ
ซึ่งมาตรวัดนี้ได้สร้างขึ้นเทียบกับผู้ใช้สองประเภท คือ
ผู้ใช้ประเภท B2B ในธุรกิจไฮเทค
และผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มสนใจด้านสุขภาพ
ผลในการใช้งานเครื่องมื่อนี้จะเป็นตัวบอกว่า โฆษณาตัวนั้น หรือแคมเปญชุดนั้น
จะมีการบอกปากต่อปากขนาดไหน
Shareability scale รวมไปถึง
1. การพิจารณาข้อความในโฆษณา หรือแคมเปญ
ว่ามีแนวโน้มจะส่งต่อให้เพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยอย่างไร
2. การพิจารณาความเป็นเอกลักษณ์ของข้อมูลข่าวสารในโฆษณา
ว่ามีแนวโน้มจะส่งต่อให้เพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยอย่างไร
3. การพิจารณาความเป็นเอกลักษณ์ของสินค้าหรือบริการในโฆษณา
ว่ามีแนวโน้มจะส่งต่อให้เพื่อนหรือคนรู้จักมากน้อยอย่างไร
การค้นคว้าวิจัยเรื่อง Shareability นั้น ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น
เพราะเหตุผลที่คนเราจะบอกหรือไม่บอกต่อนั้นมีปัจจัยหลายอย่างมาก
ซึ่งทาง MedTrackAlert และ CNET ก็จะยังศึกษาต่อไป
ในความเห็นของเรา คนเหล่านี้ก็ช่างคิดนะ
นับถือในความพยายามในการค้นหาวิธีวัด
ในหลายๆครั้งคนเราก็ต้องการวัดสิ่งที่อยู่ในจิตใจด้วยสูตร ด้วยมาตรวัด
ด้วยมาตรฐานอะไรบางอย่าง
ซึ่งบางครั้งก็เวิร์กอย่างน่าอัศจรรย์
แต่ในหลายๆครั้งก็ยังเป็นที่สงสัยว่ามันเวิร์กจริงหรือ
อย่างไรก็ดี
ก็ควรต้องจับตาไว้เป็นระยะ
ถ้าได้สูตรการหาค่า Shareability ออกมาในที่สุด
เอเจนซี่โฆษณาทั้งหลายก็คงจะได้มีงานทำเพิ่มก็คราวนี้ล่ะ
ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม