Price Discrimination ที่แบ่งกลุ่มตามเวลา เช่น โปรโมชั่นมือถือ โทรนาทีแรก 5 บาท นาทีถัดไปนาทีละ 1 บาทราคาแตกต่างกัน ทั้งๆที่บริการมือถือในนาทีแรกและนาทีถัดๆไปก็เหมือนกันทุกประการแท็กซี่ ระยะแรก 35 บาท กิโลต่อไป กิโลเมตรละ 5 บาท
ราคาค่ากิโลเมตรแตกต่างกัน ทั้งๆที่มันก็เป็นเวลาที่เราติดแหงกอยู่บนรถแท็กซี่เหมือนๆกันตอนกิโลเมตรละ 5 บาท พี่แท็กซี่ก็ไม่ได้เปิดเพลงเพราะขึ้นซะหน่อย
ตัวอย่างที่ Daniel Hamermesh ได้ยกขึ้นไว้ในบล็อกของเขาก็คือหวีเล็มผม ในแคตตาล็อกของ Leonard?sหวีเล็มผมที่ใช้สำหรับคน ราคา $12.99หวีเล็มผมอันเดียวกันนี้ เมื่อกลายเป็นหวีเล็มผมสุนัข ราคาจะคิดอยู่ที่ $7.99
สิ่งที่เป็นข้อผิดพลาดของเว็บแคตตาล็อกที่จะเป็นไปได้นั่นก็คือเอาสินค้า เดียว ที่ทำเป็นแยกเป็นสินค้าสองอัน ราคาต่างกัน มาไว้ที่? แคตตาล็อกเดียวกันและอาจจะใกล้กันเกิดไปยิ่งการ browse บนเว็บ ให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกับการเดินไปที่ชั้นวางในห้าง
ถ้าสินค้านี้วางใน ห้าง ในแผนกที่ต่างกันผู้บริโภค อาจจะไม่เห็นถึงความเหมือนกันของสินค้าก็เป็นได้(แต่จากตัวอย่างนี้ คิดว่า ถึงผู้บริโภคจะเห็นว่ามันเป็นสินค้าที่มีลักษณะเหมือนกันมากแต่ก็จะมี Psychological Separation ตรงที่ เราจะคิดว่าสินค้าสองอันนี้ ต้องมีที่แตกต่างกันล่ะ เพราะคนกับหมาต่างกันมากอาจจะเป็นฟังก์ชั่นอะไรที่มองไม่เห็นด้วยตาก็เป็น ได้)
Price Discrimination ช่วยให้ผู้ขาย ได้รายได้สูงสุดจากลูกค้าคนหนึ่งๆราคาจึงตั้งตามระดับสูงสุดเท่าที่ลูกค้า หนึ่งๆในประเภทหนึ่งๆจะรับได้ในกรณีของ Dr.Leonard?s ลูกค้าที่ต้องการหวีเล็มผม ราคา $12.99อาจจะเป็นราคาสูงสุดที่พอจะรับได้ในการซื้อหวีไว้เล็มผมตัวเองแต่ สำหรับลูกค้าที่ต้องการหาหวีเล็มผมเพื่อสุนัขของตัวเองราคา $7.99 อาจจะเป็นราคาสูงสุดที่ลูกค้าจะยอมซื้อก็ได้ถ้าเราตั้งราคาหวีเล็มขนหมาไป ที่ราคาเดียวกับเล็มผมคนที่ $12.99 ยอดขายก็อาจจะตก ขายได้ไม่เท่ากับที่ควรจะเป็นก็ได้ในขณะเดียวกัน ถ้าเราตั้งราคาหวีเล็มผมคนมาอยู่ที่ $7.99 เช่นเดียวกันคนคงยินดีที่จะซื้อด้วยราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รับได้สูงสุดมากแต่ก็ทำให้คนขายได้กำไรน้อยกว่ากำไรสูงสุดที่สามารถจะทำได้
ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม