ในทางการขาย ของชิ้นหนึ่ง สามารถขายได้ด้วยกลยุทธ์หลายอย่างหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นทางด้านราคา ด้านโปรโมชั่น ด้านโฆษณา หรืออื่นๆPrice Discrimination ก็เป็นกลยุทธ์ในการขายแบบที่มุ่งเน้นเล่นด้านราคาเพื่อให้ได้กำไรสูงสุด หรือยอดขายมากที่สุด
Price Discrimination คือการที่ตั้งราคาสินค้าตัวเดียวกัน ให้แตกต่างกันตามกลุ่มลูกค้าซึ่งถ้าจะทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต้อง ป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคสามารถหาซื้อสินค้าตัวนี้ได้ในราคาต่ำสุดที่กำหนดเอา ไว้โดยการแยกตลาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเวลา หรือกลุ่มอายุ หรือประเภทของลูกค้าแบบใดๆ
ในวงการเครื่องสำอาง บางคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่าบริษัทผลิตเครื่องสำอางที่ใหญ่ๆ มักจะมีแบรนด์ย่อยๆต่างกันไปซึ่งบางแบรนด์ก็ดูไม่น่าเชื่อเลยว่าจะผลิตออกมา จากบริษัทเดียวกันแต่ละแบรนด์ในบริษัทก็มักจะจับกลุ่มเป้าหมายไม่เหมือนกัน นั่นเป็นสาเหตุว่าสินค้าหนึ่งๆที่มาจากบริษัทเดียวกันแต่ติดแบรนด์ต่างกัน ราคาก็ต่างกันได้
แต่แบรนด์ที่ตั้งราคาสูงกว่า ทำไมยังมีคนซื้ออยู่ได้ แถมเยอะด้วยก็เพราะว่า ปรกติเขาไม่บอกกันเท่าไหร่ว่าแบรนด์ไหนมาจากโรงงานเดียวกันบ้างและ เครื่องสำอางนั้น คนซื้อเพราะเชื่อในเรื่องราวข้างหลังของมันถึงแม้เรื่องราวนั้นจะเป็นเรื่อง ราวเกี่ยวกับคุณภาพของมันก็เถอะ
Price Discrimination อย่างง่ายๆในบ้านเราอย่างเช่น ถ้าเราไปร้านป้าขายข้าวแกงถ้าเขาสนิทคุ้นเคยกับเรา เราอาจจะได้กับข้าวสามอย่างในราคายี่สิบบาทในขณะที่ลูกค้าขาจร ป้าแกจะคิดราคาที่สามสิบบาทนี่ก็เรียกว่าเป็นPrice Discrimination แบบตามประเภทของลูกค้าว่าเป็นประจำหรือจรหรือว่าอย่างในผับ หรือร้านอาหาร ที่มี Wednesday night หรือ lady?s nightวันพุธจะราคาถูกสุด หรือถ้าผู้หญิงมาวันนี้ จะได้ราคาที่ถูกกว่าผู้ชาย เป็นต้น
หรืออย่างในแมคโคร คาร์ฟูร์ แพลตตินั่มมอลล์Price Discrimination เกิดขึ้นเมื่อเราตัดสินใจซื้อของชิ้นเดียวที่มักจะแพงกว่าราคารวมเมื่อซื้อ สินค้าหลายชิ้นอันนี้ก็เรียกว่าเป็น Price Discrimination แบบตามประเภทจำนวนในการซื้อ ยิ่งซื้อมากยิ่งถูก
หรือถ้าเกี่ยวกับตั๋ว เครื่องบินก็อาจจะมีโปรโมชั่น บินไปกลับเชียงใหม่ 1 บาท ก็เป็นได้ทั้งๆที่พ้นช่วงนี้ไปแล้ว ขึ้นราคาเป็น 3,000 บาท มันก็บินไปกลับเชียงใหม่ได้เหมือนกัน
ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม