A Blogger by Beamcool

บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ การตลาด seo และ วิธีการ หาเงิน บน อินเตอร์เน็ต เทคนิคในการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต ( เราหมายถึงการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต จริง ๆ ที่ไม่ใช่การชวนเข้า mlm แต่อย่างใดครับ) รวมถึง บริการออนไลน์ ออฟไลน์ ต่าง ๆ ในเครือ Wittybuzz ไว้ด้วยกัน ใครที่เยี่ยมชมนี้ด้วย Internet Explorer แนะนำให้ดาวโหลด Firefox มาใช้จะดีกว่าครับ นอกจากลูกเล่นจะมีเยอะกว่า ยังมีเครื่องมือที่สนับสนุน SEO อีกด้วยครับ

Real Time Search


จากเมื่อก่อน ที่ผู้คนค้นหาจาก Search Engine กันอยู่เป็นประจำ ก็จะพบผลการค้นหาที่ถูกเก็บสะสมมาเป็นเวลานาน แต่มีการจัดลำดับที่ทำให้เราได้เลือกคลิกว่าอยากดูลิงค์ไหน หรือเว็บไหน ซึ่งสำหรับคนที่เป็นเจ้าของเว็บไซต์ ที่เคยทำ SEO หรือ Search Engine Optimization เอง ก็จะพบว่า กว่า Search Engine หรือ Google จะมาเก็บข้อมูลในเว็บไซต์ของตน ไปจัดลำดับและแสดงในผลการค้นหา ก็อาจใช้เวลาหลายวัน หรือเร็วหน่อยก็หนึ่งวัน

แต่ในยุคปัจจุบัน เราได้เห็นว่า Social Media ที่มีมากมายนั้น สร้างเนื้อหาใหม่ ๆ ขึ้นแทบจะทุกวินาที สิ่งที่เราเห็นในเรื่องการค้นหาที่เปลี่ยนไปก็คือ การที่ Search Engine แสดงผลการค้นหาของข้อมูลที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน เช่น Search Engine ของ Twitter ซึ่งจะสามารถค้นหาข้อมูลที่มีคน Tweet ได้ทันทีแบบ real time

และในที่สุด Search Engine ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายแหล่ก็คงไม่พลาดมุมของการค้นหาแบบ real time ด้วยเช่นกัน เมื่อสองสามวันก่อน ผมได้อ่านอีเมล์ที่ถูกส่งมาจาก Google ได้พูดถึงการที่ Google ได้ทำข้อตกลงกับ Social Network บางแห่ง เพื่อรวมผลการค้นหา ให้สามารถเกิดขึ้นได้แบบ real time ซึ่งทาง Search Engine ยักษ์ใหญ่กล่าวว่า ตนเองก็เดินหน้าตกลงกับ Social Network อีกหลายแห่งเช่นกัน

เป็นอีกหนึ่งในวิวัฒนาการของ Search Engine ที่น่าจะทำให้เราสามารถใช้ข้อมูลจาก Search Engine ได้ดีขึ้นมากเลยทีเดียวครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยว่า กว่าจะมีเวลามาอัพช่างยาวนาน จริง ๆ เรื่องของเรื่องคือผมมัวแต่ง่วนกับการทำโปรเจคจบโท ตอนนี้ ว่าง เลยรีบมาอัพเดทข่าวสาร และความรู้ให้ได้อ่านกัน ช่วงที่ผ่านมามีการคาดการณ์ต่างๆ มากมายเกี่ยวกับสิ่งที่ การเปลี่ยนแปลงด้าน SEO อาจจะเกิดขึ้นในปี 2010 นั่นก็เพราะแนวโน้มในปัจจุบันที่มีความเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจากการที่เรา สังเกตุเห็นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา (ปี 2009) ทำให้เรารู้ว่าการปรับเปลี่ยนรูปแบบการคิดเพื่อให้ Rangking น่าจะมีแนวโน้มที่เปลี่ยนไป และแน่นอนครับยักษ์ใหญ่อย่าง Google ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน อัลกอริทึม (อังกฤษ: algorithm) ใหม่เพื่อให้ตอบสนองความต้องการใหม่ๆ ในปัจจุบันรวมไปถึงรักษาระดับของแชมป์ Search Engine ของตนเองเอาไว้ให้ได้นั่นเอง

สวัสดีครับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ทุกท่านครับวันนี้ได้มาอัพเดทเนื้อหากันอีกหน่อย เพราะคิดถึงทุกท่านจังเลย เป็นอย่างไรกันบ้างครับในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาเชื่อว่าหลายท่านคงจะทำเงินจาก โลกออนไลน์กันได้อย่างมากมายกันเลยซินะครับ สำหรับผมนั้นในรอบสัปดาห์แรกก็ไม่ค่อยจะหวือหวาเท่าไหร่เพราะช่วงนี้ไม่ค่อย ได้อัพเดทเนื้อหาของบล็อกมากนัก เพราะกำลังศึกษาเกี่ยวกับแนวโน้มต่างๆ ในปัจจุบันและอนาคตอันไกล้ที่อาจจะเปลี่ยนแปลงไปนั่นเองครับ ก็เลยมองๆ หาสินค้าอะไรใหม่ๆ มาทำตลาดดูว่าจะดีขึ้นหรือไม่นั่นเองครับ เอาหละวันนี้ผมจะมาขอพูดถึงเรื่องราวของ SEO กันสักหน่อยเพราะไม่ได้พูดถึงเลยนานแล้ว เพื่อเป็นการอัพเดทความรู้ใหม่ๆ ก็จะขอกล่าวถึงสักเล็กน้อยจากที่พอจะทราบมาบ้างนะครับไปเริ่มกันเลยครับ

เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2010 การทำ Search Engine Optimization (SEO) ก็ไม่ได้มีเพียงแค่นึกถึงการสร้าง Backling, Link building, Unique Content, Fresh Content, on page SEO, off page SEO วนเวียนกันอยู่ไม่กี่เรื่องเช่นนี้ ทั้งๆ ที่การปรับเปลี่ยน Algorithm ของบรรดา Search Engines มีอยู่เสมอๆ โดยเฉพาะ Conversion Rate Optimization นี่นะ..น่าสนใจมากครับ ทำ SEO แล้ว ต้องสามารถเพิ่ม Conversion Rate ให้กับเว็บไซต์ของเราได้ด้วยนะครับเราถึงจะได้คะแนนอันดับที่ดีขึ้นมา จากที่ผ่านมาเราจะสังเกตุเห็นว่าปัจจัยด้าน PageRank เกือบจะไม่ค่อยมีผลต่ออันดับเลยก็ว่าได้ นั่นทำให้เราสามารถแข่งขันได้อย่างเต็มที่แม้จะเพิ่งเปิดบล็อกการตลาดของเรา ขึ้นมา เพียงแค่ไม่กี่วันเราก็สามารถที่จะทำอันดับในสินค้าต่างๆ ได้ถ้าการปรับเปลี่ยนเนื้อหาของบล็อกเราให้ผลด้านบวก ที่เกี่ยวเนื่องกับสินค้าและ Keywords ที่ตรงประเด็นมากที่สุด

Marketing Blog SEO 2010 - บล็อกการตลาดกับ SEO 2010สิ่งที่ผมเองมองเห็นและคาดว่าน่าจะมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในปัจจุบันและไปถึงปี 2011 น่าจะเป็น Community ที่ทรงพลังอย่าง Social Networking นั่นเองฉนั้นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือว่าการเลือกใช้เครือข่ายที่มีอยู่นั้น ให้คุ้มค่ามากที่สุดหรืออาจบอกได้ว่าใช้อย่างชาญฉลาดนั่นเอง บางท่านที่ยังไม่ค่อยได้ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้อาจจะอ่านบทความนี้รู้สึก สับสนเล็กน้อยก็ไม่เป็นไรครับ เพราะเมื่อท่านอ่านไปเรื่อยๆ แล้วจะเริ่มเข้าใจเองครับ ผมเองก็กำลังศึกษารูปแบบของเครือข่ายในปัจจุบันและน่าจะมองเห็นพลังของการ ขับเคลื่อนการตลาดในอนาคตได้ และสิ่งที่ผมจะนำเสนอในตอนต่อๆ ไปนั้นจะมาพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้กันมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ

ฉะนั้นในบทความนี้นั้นผมก็แค่อยากจะมาบอกว่าแนวโน้มนั้นน่าจะเป็นเช่นไร และเราควรจะมองถึงเรื่องอะไรเอาไว้บ้างทั้งนี้เพื่อที่เราจะได้พร้อมในการ ปรับตัวเพื่อเข้าหาทิศทางของตลาดในปัจจุบันและอนาคตที่จะมาถึงในอีกไม่ช้า นี้นั่นเอง หวังว่าคงพอทำให้ทุกท่านมองเห็นแนวทางกันมากขึ้นนะครับ

ที่มา : เมกเมนนี่ดอทคอม



1.Google ใช้ and (และ) ในประโยคเสมอ เช่น ค้นหา harvest moon back to nature สำหรับ Google จะค้นหาแบบแยกคำ harvest AND moon AND...

2.การใช้ or (หรือ) คือให้หาข้อมูลมากขึ้นจากคำ A และ B นำผลที่ได้มารวมกัน พิมพ์ or ด้วยตัวใหญ่ระหว่างคำ เช่น vacation london OR paris คือหาทั้งในลอนดอนและปารีส

3.Google จะละคำทั่วไป (the, to, of) และอักษรเดี่ยว เพราะทำให้ค้นหาช้าลง แต่ถ้าคำนั้นช่วยให้หาข้อมูลง่ายขึ้นก็ใช้เครื่องหมาย + ข้างหน้า (เว้นวรรคก่อน) เช่น back +to nature

4.กันขอบเขตการค้นหาให้เล็กลงได้ด้วยการใช้ Advanced Search (หรือการค้นหาแบบพิเศษ ใน Google ไทย)

5.Google สามารถตัดคำพ้องรูปได้โดยใช้เครื่องหมาย - ช่วย โดยการนำไปอยู่คำที่จะตัด เช่น bass มี 2 ความหมายคือเกี่ยวกับปลาและดนตรี จะตัดที่มีความหมายเกี่ยวกับดนตรีออก ก็พิมพ์ bass -music

6.การค้นหาแบบทั้งวลี (คือค้นหาทั้งกลุ่มคำ) ให้ใช้เครื่องหมาย "..." เช่น "Breath of fire IV"

7.Google แปลเว็บภาษาอิตาเลียน, ฝรั่งเศส, สเปน, เยอรมัน และโปรตุเกส เป็นภาษาอังกฤษได้ โดยคลิก "Translate this page" ด้านข้างชื่อเว็บ

8.สามารถหาไฟล์ในรูปแบบอื่นที่ไม่ใช่ HTML ได้ อาทิ Adobe Portable Document Format (นามสกุลของไฟล์ pdf) Text (นามสกุลของไฟล์ ans หรือ txt) วิธีใช้ filetype:นามสกุลของไฟล์ เช่น "Chrono Cross" filetype:pdf หมายความว่าเอกสารของ Chrono Cross ที่เป็น PDF ทั้งนี้ยังมีความสามารถดูไฟล์เหล่านั้นในรูปแบบ HTML ได้ โดยคลิก View as HTML (หรือ รูปแบบ HTML ใน Google ภาษาไทย)

9..สามารถ เก็บ Cached ของเว็บที่จะเข้าชมไว้ได้ โดยคลิกที่ Cached (หรือ ถูกเก็บไว้ ใน Google ภาษาไทย) ช่วยให้สามารถเข้าบางเว็บที่โดนลบไปแล้วโดยข้อมูลที่ได้เป็นข้อมูลก่อนถูกลบ (ใหม่สุดที่มันจะมีได้)

10.Google สามารถค้นหาหน้าที่คล้ายกัน โดยคลิก Similar pages (หรือ หน้าที่คล้ายกัน ใน Google ภาษาไทย) จะค้นหาข้อมูลที่คล้ายๆ กันให้มากมายในเวลาที่รวดเร็วโดยไม่ต้องห่วงเรื่อง keyword

11.ค้นหา link ที่เชื่อมไปเว็บนั้นได้ วิธีใช้ link:ชื่อ URL เช่น link:www.google.com

12.ค้นหาเว็บจำเพาะเจาะจงได้ เช่น ต้องการหาเว็บเกี่ยวกับเข้ามหาวิทยาลัย Stanford ให้พิมพ์ admission site:www.stanford.edu

13.มีบริการการค้นหาด่วน โดยนำเว็บที่อยู่ลำดับแรกของการค้นหาส่งให้เลย เช่น ต้องการค้นหาเว็บมหาวิทยาลัย Stanford ด่วน พิมพ์ Stanford แล้วกด I"m Feeling Lucky (หรือ ดีใจจัง ค้นแล้วเจอเลย ใน Google ภาษาไทย)

ยัง มีรายละเอียดน่าสนใจ เข้า Google พิมพ์ วิธีใช้ google แล้วค้นหา ก็จะพบ

ที่มา : มติชนดอทซีโอดอททีเอช


เทคนิคต่าง ๆ ของ Google Talk

โปรแกรม ง่ายๆอย่าง Google Talk ทิปหรือเทคนิคต่างๆก็ง่ายตามไปด้วย ลองมาดูกันครับ

• ลองพิมพ์ icon ง่ายๆลงไป เช่น :) :( :P GoogleTalk จะแสดงเป็นสีน้ำเงินครับ :) :( :P
smiley ที่สามารถพิมพ์แล้วเปลี่ยนสีได้ ได้แก่ :) :D :( :P :O :| :'( :x :-) :-D :-( :-P :-O :-| :-x

• เปลี่ยนขนาดของ font ได้โดยการนำ cursor ไปวางตรงช่องที่พิมพ์ หรือช่องข้อความ แล้วลองเลื่อน scroll mouse ขึ้นลงพร้อมกับกดปุ่ม Ctrl จะทำให้ขนาด font ใหญ่ หรือเล็กได้

• ถ้าต้องการให้อักษรแสดงเป็นตัวหนา ให้ใส่ดอกจันคล่อมเอาไว้ *ประมาณนั้น*

• หากต้องการตัวเอียง ให้ใส่ขีดล่างไว้ทั้งหน้า และหลัง _ประมาณนี้_

• จำนวนตัวอักษรที่สามารถใส่ระหว่างเครื่องหมาย * และ _ คือ 100 ตัวอักษร
ถ้าใส่เกินข้อความนั้นก็จะกลายเป็นข้อความธรรมดา

• เมื่อมีคนคุยเข้ามาตอนที่เราปิด หรือซ่อนหน้าต่างคุยเอาไว้ จะมี popup เล็กๆขึ้นมาที่มุมขวาล่าง(เหมือน MSN) เราสามารถปิด popup นั้นด้วยการคลิ๊กขวา

• ลงบรรทัดใหม่เหมือน MSN ก็กด Shift + Enter เหมือนกันครับ

• ถ้าใส่ URL ตรงใต้ชื่อของเรา(ตรงที่แสดงสถานะ) จะเป็นลิงก์ให้คนอื่นเห็นโดยอัตโนมัติ

• สามารถจัดตัวอักษรที่พิมพ์ไปแล้วได้ โดยลากเลือกข้อความในช่อง Message

Ctrl + j : จัดชิดซ้าย
Ctrl + e : จัดกึ่งกลาง
Ctrl + r : จัดชิดขวา

เว้นระยะบรรทัด
Ctrl + 1
Ctrl + 2
Ctrl + 5

เราสามารถรัน Google Talk หลายๆ account ในเครื่องเดียวกันได้อย่างง่ายๆ ไม่ต้องลงโปรแกรมเพิ่ม

- คลิ๊กขวาที่ Desktop แล้วสร้าง shotcut ใหม่

- เลือกไปที่โปรแกรม GoogleTalk เช่น "c:\program files\google\google talk\googletalk.exe"

- เติมคำว่า /nomutex ต่อท้ายไป อย่างนี้ "c:\program files\google\google talk\googletalk.exe" /nomutex

ที่มา : ไทยกูเกิ้ลทอล์กดอทคอม


วิธีการโปรโมทเว็บไซต์ผ่าน seo

ก่อน ที่เราจะโปรโมทเว็บไซต์ผ่านSeoเรามารู้จักก่อนดีกว่าครับว่า Seo คืออะไร Seo เป็นศัพท์ที่ย่อมาจาก Search Engine Optimization ซึ่งเป็นกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเสริซเอ็นจิ้น เพื่อให้เสริซเอ็นจิ้นต่างๆเช่น google yahoo msn หาเว็บของเราเจอ (อันนี้เป็นหลักที่ปผมเข้าใจนะครับ) แค่นี้แหละคับเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

เริ่มแรกสำหรับการทำ seo

การปรับแต่งเว็บไซต์

1. ควรปรับเปลี่ยนในส่วนของ title ให้เป็นคีย์เวริดที่เราต้องการ เช่น ถ้าเราต้องการให้เวลาผู้คนค้นหาคำว่า บ้าน และเจอเว็บเราเราก็จะต้องตั้ง title ว่า

บ้าน ครับหากท่านต้องการมากกว่า1คำให้กดเว้นวรรค1ครั้งแล้วพิมคำต่อไปนะครับ โครงจะเป็นแบบนี้ครับ keyword1 keyword2 keyword3

2. ปรับเปลี่ยนในส่วนของ keyword ให้เหมือน title ครับ ถ้าเราตั้ง keyword ว่าบ้าน เราก็ต้องใช้ keyword ว่าบ้าน ส่วนโครงสร้างการใส่ ตามนี่เลยครับ

3. ใส่รายละเอียดหรือ description ลงไปด้วย ตรงนี้ควรให้ความสำคัญเท่าๆกับ title และ keyword เลยนะครับเพราะว่าในส่วน description นั้นจะทำให้ผู้ชมทราบถึงรายละเอียดของเว็บไซต์หรือสินค้าของท่านได้และอาจทำ ให้สินค้าและบริการของท่านมีคนซื้อหรือคนสนใจ มากขึ้นด้วยครับตั้งอย่างเช่น หากมีคนค้านหาในกู้เกิลว่า ขายบ้าน และเจอเว็บท่านอยู่ลำดับ 2 โดยที่ลำดับ 1 นั้นอาจมีการปรับแต่งหรือ backlink ดีกว่าท่าน (เดี๋ยวผมจะ บอกที่หลังนะครับว่า backlink คืออะไร) บอกแต่เว็บในส่วนรายละเอียดของเว็บไซต์ของเขานั้นไม่ดีและสู้ของท่านไม่ได้ เช่นของเขาอาจไม่ได้ปรับแต่งไว้ ในส่วน รายละเอียดอาจเป็น หน้าหลัก สินค้า ติดต่อเรา (สมมุตินะครับ)แต่ของเรานั้นใส่ description หรือ รายละเอียดลงไปว่า จำหน่ายบ้านเดี่ยว บ้านทาวส์เฮ้าส์ ราคาถูก คนก็จะเลือกเข้ามาที่เว็บเรามากกว่าเว็บของเขาเนื่องจากรายละเอียดของคุณ นั้นตรงกับที่เขาต้องการ โคงสร้างมีดังนี้ครับ

4. ควรมีคำใน title ให้มากที่สุด เช่นหากท่านขายบ้านท่านต้องมีข้อความที่มีคำว่าบ้านอยู่ด้วยให้เยอะที่สุด แต่ไม่ควรพิมคำว่า บ้านในหน้าเว็บเพจหลายๆคำแบบ ไม่มีความหมายนะครับเพราะมันผิดกฏของsearch engine อาจทำให้เว็บท่านค้นหาไม่เจอใน google ได้

รู้จักกับ backlink และ วิธีการหา backlink

backlink คือ ปริมาณของเว็บไซต์ที่ลิงค์เข้ามาหาเว็บเราซึ่งเป็นอีกส่วนประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ในการทำ SEO

วิธีการตรวจสอบ backlink ของคู่เข่ง

1. พิมพ์เว็บไซต์ที่เป็นคู่แข่งของคุณลงไป เช่น www.domain.com แล้วคุณจะพบจำนวนเว็บที่ลิงค์เข้ามาหาเว็บคู่แข่งของคุณ

2. พิมพ์ link:ชื่อเว็บคู่แข่งของคุณ หรือ link: ชื่อเว็บคู่แข่งของคุณลงไป เช่น link:www.domain.com และ link: www.domain.com อันนี้ผมรู้สึกว่าจะเป็นลิงค์ที่กูเกิลหรือลิงค์คุณภาพที่เสริชเอ็นจิ้นยอม รับนะครับถ้าจำไม่ผิด

วิธีการหา backlink แบบง่ายๆ ฟรีๆ

1. การ Submit website ตาม web dicrectory ต่างๆ รายชื่อของ web dicrectory ต่างๆ ดูได้ที่นี่เลยครับ

โดยกรอกรายละเอียดของเว็บไซต์ขิงท่านลงไปแล้วกด submit แค่นี้เองครับ

2. การแลกลิงค์ วิธีการทำง่ายๆก็ตือเรานำป้ายแบนเนอร์ที่มีลิงค์เว็บไซต์ของเขาอยู่แล้วเขา จะนำป้ายแบนเนอร์ของเราที่ลิงค์ไปยังเว็บไซต์ของเราไปติดให้ครับ

3. การโพสในเว็บบอร์ด อันนี้เป็นการเพิ่มแบคลิงค์อีกวิธีหนึ่งครับ เพียงแค่เราโปรโมทสินค้าและบริการของเราลงไปแล้วใส่ลิงค์เว็บของ
เราลงไปในรายละเอียด(ต้องคลิกแล้วไปเว็บเราด้วยนะครับถ้าคลิกแล้วไม่ไปไม่ นับนะครับ)ก็เปนวิธีการเพิ่มแบคลิงค์อย่างรวดเร็ว นะครับแต่ต้องหา เว็บบอร์ดที่มีอายุของ กระทู้นานๆหน่อยครับหรือลงแล้วอยู่ไปตลอดเลยเพื่อจะทำให้เราได้แบคลิงค์ อย่างยั่งยืนครับ

4. การ submit article หรือการที่เรานำเนื้อหาของเราที่เราเขียนเองไปทำการ submit ในเว็บเนื้อหาครับโดยจะมีลิงค์ของเว็บไซต์เราอยู่ด้วย

5. การทำ social bookmark คือการนำเนื้อหาที่เราเขียนเองไปทำการโพสเพื่อเวลาคนคลิกเข้ามาจะมาสู่เว็บของเราแล้วอ่านเนื้อหานั้น

6. การทำ video ของเราเองเพื่อส่งไปยังเว็บวีดีโอดังๆเช่า youtube เป็นวิธีการเพิ่มทราฟฟิกผ่านเว็บyoutube โดยวิธีก็คือทำวีดีโอที่มีคุณภาพ
หรือมีประโยชน์ขึ้นมาและเราก็ใส่ชื่อเว็บไซต์ของเราไปหลังวีดีโอจบแล้วหลัง จากนั้นเราก็นำวีดีโอของเรานั้นอัพโหลดขึ้นไปหาก วีดีโอของเราถูกใจผู้ที่มาชมผู้ที่มาชมก็จะเขามาชมต่อที่เว็บไซต์ของเรา

ส่วนประกอบต่างๆในการ submit เว็บไซต์

ชื่อเว็บ : ใช้ title ของเว็บเราที่เราตั้งไว้ในเว็บไซต์ครับ

รายละเอียด : ใช้ description ที่เราตั้งไว้ในเว็บไซต์ครับ

คีย์เวริด : ใช้ keyword ที่เราตั้งไว้ในเว็บไซต์ครับ

Email : อีเมลล์ของคุณครับ

nice keyword น้อยคนแต่ตรงใจ

ก็ ขออธิบายให้เข้าใจง่ายๆเลยนะครับเกี่ยวกับ nice keyword จะได้เป็นที่เข้าใจกันง่ายๆ nice keyword คือการที่เราตั้งคีย์เวริด์ที่มีการแข่งขันน้อยแต่มีคุณภาพสูงหรือตรงกับ ความต้องการนั้นเองครับ

วิธีการดูว่า search engine อินเด็กเว็บเรากี่หน้าแล้ว

1.พิมพ์site:เว็บของคุณไม่มีwww.ตัวอย่างเช่น site:domain.com

2.พิมพ์site:เว็บของคุณแบบมีwww.ตัวอย่างเช่น site:www.domain.com แล้วคุณจะพบจำนวนหน้าที่ search engine อินเด็กเว็บของเรา

ที่มา : คอมเน็ตไซต์ดอทคอม


เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา Googleได้ออกมาปฏิเสธข่าวจากสำนักข่าวรอยเตอร์ที่ว่าGoogleได้ถอนตัวจากการ ทำธุรกิจในจีนแล้ว โดยGoogleได้แจ้งว่าตอนนี้กำลังตรวจสอบเครือข่ายของตนเป็นการภายในอยู่ และยังมีแผนที่จะพูดคุยกับทางรัฐบาลในสัปดาห์หน้าในความพยายามที่จะแก้ปัญหา ดังกล่าว

นักวิเคราะห์หลายคนเชื่อว่า หากGoogleจะทำธุรกิจในจีนต่อไป ก็อาจนำไปสู่การปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความเข้มงวดมากขึ้น

ใน ขณะเดียวกัน ทางรัฐบาลสหรัฐฯ ก็ได้ขอความชัดเจนเกี่ยวกับการโจมตีGoogleและบริษัทอื่นๆ ที่มีข่าวไปก่อนหน้านี้ว่ารัฐบาลจีนนั้นมีส่วนร่วมด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากกว่าปัญหาเดิมที่มีอยู่ ทั้งเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา การกีดกันทางการค้าของรัฐบาลจีน และการขายอาวุธของรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ไต้หวัน

ที่มา : บล็อคนอนดอทคอม

Google PageRank


Google PageRank คืออะไร ?
1. Google PageRank คืออะไร ?
Google PageRank คือวิธีการวัดความสำคัญของเว็บเพจนับล้านๆเว็บเพจบนอินเตอร์เน็ท โดยมีตัวเลขตั้งแต่ 0 ถึง 10 ยิ่งตัวเลขยิ่งสูง PageRank ก็ยิ่งสูง นั่นหมายความว่าเว็บไซต์นั้นๆมีโอกาสได้รับการจัดอันดับที่ดีกว่าเว็บไซ ต์ที่มี PageRank ต่ำกว่า
** หัวใจ ของ Page Rank คือ แลกลิงค์กับเว็บไซต์อื่นๆ ให้มาก และถ้าเป็นเว็บที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเว็บเรา และ เป็นเว็บที่มีค่า PR สูง ยิ่งทำให้เว็บไซต์เรามีค่า PR สูงขึ้นด้วย

2. ค่า PR นั่นแสดงค่าทุกๆหน้าของเว็บไซต์เราใช่หรือไม่ ?

ค่า PR ของแต่ละเว็บเพจ ในเว็บไซต์หนึ่งๆ นั้นจะมีค่าแตกต่างกันไป ทั้งนี้ โดยมากโฮมเพจ มักมีค่า PR สูงกว่าหน้าอื่นๆ แต่ก็ไม่เสมอไป

3. Google คำนวณค่า PR อย่างไร ?

ค่า PR ถูกคำนวณ โดยจำนวนลิงก์ของเว็บไซต์อื่นๆ ที่เชื่อมลิงก์มายังเว็บไซต์ของคุณ (Inbound Link) ทั้งนี้คำนึงถึงคุณภาพ (คุณภาพของลิงก์หมายถึง เว็บเพจที่ลิงก์มาหาคุณมีความเกี่ยวข้องและเกี่ยวเนื่องกับเนื้อหาใน เว็บไซต์ของคุณ ) และค่า PR ของเว็บไซต์ที่ลิงก์มายังเว็บไซต์คุณด้วย ยิ่งเว็บไซต์ที่ลิงก์มาหาคุณมี PR สูงๆ ค่า PR ของเว็บคุณก็มีแนวโน้มที่จะสูงตามไปด้วย ค่า PageRank นั้นใช้วิธีการเดียวกับระบบการโหวต หนึ่งลิงก์ที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์ของคุณ ยิ่งมีค่า PR สูงเท่าใด Google ยิ่งเห็นความสำคัญของเว็บเพจนั้นๆมากยิ่งขึ้น และหากมีลิงก์มาจำนวนมากลิงก์มายังเว็บไซต์คุณ ค่า PR เว็บคุณก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย

4. ทำอย่างไรถึงจะได้ค่า PR เพิ่มขึ้น ?

ค่า PR นั้นจะเพิ่มขึ้นได้ในแต่ละขั้นจาก 1 ไป 2 , จาก 2 ไป 3,... , จาก 9 ไป 10 นั้น มีกฏเกณฑ์ที่ค่อนข้างสลับซับซ้อน แต่ไม่ได้เป็นลักษณะเช่น คุณมีเว็บที่เชื่อมโยงลิงก์มาหาเว็บไซต์ คุณจาก 50 inbound link เป็น 100 inbound link (เพิ่มขึ้น 50 หน่วย) เว็บเพจนั้นๆอาจมีค่า PR เพิ่มขึ้นจาก 2 เป็น PR 3 แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ค่า PR 3 จะปรับเพิ่มขึ้นเป็น PR 4 โดย ที่คุณมี inbound link เพิ่มจาก 100 เป็น 150 (เพิ่มขึ้น 50 หน่วย) เสมอไป อาจต้องมี inbound link เพิ่มขึ้นถึง 200 หน่วย ค่า PR ถึงจะเพิ่มขึ้นก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นในค่า PR ในแต่ละขั้นนั้น เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความรู้ ความพยายามเป็นอย่างมาก

5. การเพิ่มหน้าเว็บเพจที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ส่งผลให้ค่า PR เพิ่มขึ้นหรือไม่ ?

คำ ตอบคือไม่ อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วคือ หากคุณสามารถทำให้มีเว็บลิงก์มายังเว็บคุณได้มากขึ้นเท่าไหร่ PR ของเว็บคุณก็จะสูงมากขึ้นตามลำดับ แต่ทั้งนี้หากคุณนำเสนอเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ในเว็บเพจนั้นๆ นั่นหมายความว่า คุณอาจได้รับการขอแลกลิงก์จากเว็บมาสเตอร์คนอื่นๆมายังเว็บไซต์คุณก็เป็นได้ ซึ่งเท่ากับเพิ่มจำนวนลิงก์ให้มากขึ้นในที่สุด

6. เนื้อหาของเว็บเพจที่ลิงก์มายังเว็บไซต์คุณ มีผลอย่างไรต่อค่า PR ?

หาก เว็บเพจที่เชื่อมโยงลิงก์มายังเว็บคุณ มีเนื้อหาเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับเว็บไซต์คุณมากเท่าใด Google จะพิจารณาให้ค่า PR ของเว็บคุณสูงยิ่งขึ้น

7. หากเว็บเพจที่เชื่อมโยงลิงก์มายังเว็บไซต์เรามี ค่า PR ต่ำ จะส่งผลกระทบต่อค่า PR ของเว็บไซต์เราหรือไม่ ?

การ ที่มีเว็บเพจเชื่อมโยงมาหาเว็บคุณจำนวนมากขึ้นนั้น โดยที่เว็บเพจนั้นๆมีค่า PR ระหว่าง 0-3 จะไม่ส่งผลกระทบต่อค่า PR ของเว็บคุณในทันที แต่เหมือนกับสะสมคะแนนไปเรื่อยๆ อย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว ยิ่งเว็บเพจที่เชื่อมโยงมายังเว็บไซต์คุณมีเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์ กับเว็บไซต์คุณมากเท่าใด ยังส่งผลดีมากกว่า เว็บเพจที่มีเนื้อหาที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์คุณเลยแต่มีค่า PR สูง และเชื่อมโยงลิงก์มาหาเว็บคุณ อย่าลืมว่า PageRank เป็นแค่ปัจจัยหนึ่งในการจัดลำดับความสำคัญของเว็บเพจหนึ่งๆเท่านั้น ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกด้วย

8. เว็บที่มีค่า PR ต่ำๆ จะทำให้ค่า PR ของเว็บไซต์เรา ลดลงหรือไม่ ?

คำ ตอบคือ ไม่อย่างแน่นอน การแลกลิงก์กับเว็บไซต์ที่มีค่า PR ต่ำ (อาจเป็นเว็บที่เพิ่งเปิดตัว เป็นต้น) แต่มีเนื้อหาที่เกี่ยวพันกับเว็บไซต์คุณอาจทำให้ PR ของเว็บไซต์ของทั้งสองแห่งเพิ่มขึ้นพร้อมๆกันก็เป็นไปได้ แต่อย่าเข้าร่วมกับโปรแกรมแลกเปลี่ยนลิงก์ใดๆที่เป็นการโกงเสิร์ชเอนจิ้น ซึ่งจะทำให้เว็บไซต์คุณถูกถอนออกจากฐานข้อมูลของเสิร์ชเอนจิ้นในทีสุด

9. ค่า PR เราตกลงได้หรือไม่ ?

ค่า PageRank สามารถลดลงได้ หากเว็บไซต์คุณมีจำนวนลิงก์ที่เชื่อมโยงมาหาเว็บไซต์คุณน้อยลง ซึ่งบางครั้งอาจเกิดขึ้นจากเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงมาหาคุณมีค่า PR ลดลงก็เป็นได้

ที่มา : ปาตี้บอยสองพันเก้า


ผมได้มีโอกาสทำงานในวงการโฆษณาออนไลน์ ทำให้ได้มีโอกาสพบเจอผู้คนมากหน้าหลายตา และเรียกได้ว่าเจอกับผู้คนในอาชีพ Digital Marketer แทบจะทุกกลุ่มเลยทีเดียว ซึ่งผมจะขออนุญาตลองเล่าให้ฟังว่า นักการตลาดออนไลน์ หรือ Digital Marketer ชาวไทย ที่ผมได้ไปพบ ไปเจอมานั้น มีทิศทางเป็นแบบไหนบ้าง

เจ้าของแบรนด์/เจ้าของสินค้า จะมี Digital Marketer อยู่ในทีม

สำหรับกลุ่มนี้ Digital Marketer ที่ดูแล ก็จะต้องดูแลการตลาดให้กับสินค้า หรือแบรนด์ของตน ซึ่งช่วงหลัง ๆ นี้ผมมักจะเห็นว่า เจ้าของแบรนด์ หรือสินค้าต่าง ๆ มักจะจ้างนักการตลาด ที่มีความสามารถทางด้านการทำตลาดแบบดิจิตอล บรรจุเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมงาน เพราะคอยดูแลงานทางด้านนี้โดยตรง บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีทีมงานทางด้าน production เป็นของตัวเอง แต่นักการตลาดเหล่านี้ มีหน้าที่ทำงานร่วมกับเอเยนซี่ และทีมงานภายในของตนเอง

Digital Marketer จะเป็นที่ต้องการของตลาด

นักการตลาดแบบดิจิตอล จะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานมากขึ้น เพราะว่าการตลาดดิจิตอล แทบจะเข้าไปอยู่ในทุกหมวดหมู่สินค้า ดังนั้นนักการตลาดดิจิตอล สามารถทำงานได้ทั้งกับ เอเยนซี่ ได้ทั้งเป็นลูกค้าหรือแบรนด์ ตลอดจนกระทั่งทำงานกับสื่อประเภทเว็บไซต์ หรือ publisher นั่นเอง

องค์กรที่ผลิตนักการตลาดดิจิตอล มีน้อย

การที่บุคคลากรทางด้านการตลาดดิจิตอลมีน้อย ก็เพราะว่าหน่วยงานการศึกษาต่าง ๆ หลายแห่ง เพิ่งจะเริ่มมีการบรรจุ บทเรียนเรื่องการตลาดออนไลน์ เข้าไปในหลักสูตรเมื่อไม่นานมานี้ ดังนั้นเมื่อตัวเลือก (ที่เก่ง ๆ ) มีน้อย ทำให้ตลาดก็จะแย่งตัวกันมากขึ้น ตามหลักเศรษฐศาสตร์ ที่เรียกว่าอุปสงค์มากกว่าอุปทาน

ที่มา : เก่งดอทคอม

Googleอาจจะหยุดทำการในประเทศจีนหลังจากอีเมลของเหล่านักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนของจีนใน Gmail ถูกแฮคเกอร์โจมตี
ผม เกิ้ลประกาศว่า ทางบริษัทฯ ได้ตรวจพบการจู่โจมที่มุ่งเป้ามายังโครงสร้างระบบพื้นฐานของGoogle และการจู่โจมนั้นมาจากในประเทศจีน และถึงแม้ว่าGoogleจะไม่ได้กล่าวหารัฐบาลจีนโดยตรงว่าเป็นผู้อยู่เบื้อง หลังการโจมตีทางโลกไซเบอร์ครั้งนี้ แต่Googleก็ระบุว่าบริษัทฯ ไม่ยินยอมที่จะเซ็นเซอร์ผลการค้นหาจากเว็บไซต์Googleในจีนตามที่รัฐบาลได้ ร้องขอไว้อีกต่อไป

การตัดสินใจของGoogleในครั้งนี้อาจจะหมายถึงการปิดเว็บไซต์Googleในจีนซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2006

Google ประกาศการตัดสินใจครั้งนี้บนบล็อกของบริษัท โดยระบุถึงจุดมุ่งหมายของแฮคเกอร์ว่าต้องการโจมตีอีเมล แอคเคานท์ ของกลุ่มนักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนในจีน และเมื่อGoogleตรวจสอบการจู่โจมก็พบว่ามีสองแอคเคานท์ ที่ถูกเจาะผ่านเข้ามาได้แล้ว แต่แฮคเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลของแอคเคานท์ได้เท่านั้น เช่นวันที่สร้างแอคเคาท์ขึ้น และหัวข้ออีเมล แต่ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาของอีเมลได้

Googleประกาศว่าจะเข้า หารือกับรัฐบาลจีนภายในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้าเพื่อพิจารณาการปฏิบัติการ ของเซิช เอ็นจิ้น ที่ไม่ต้องผ่านการกรองโดยที่ไม่ผิดกฎหมาย โดยผู้สื่อข่าวฝ่ายเทคโนโลยีของบีบีซีกล่าวว่า ถ้าหากรัฐบาลจีนปฏิเสธไม่ให้Googleปฏิบัติการต่อไปโดยไม่ผ่านการเซ็นเซอร์ ซึ่งก็คาดว่าน่าจะเป็นเช่นนั้น Googleก็จะถอนการปฏิบัติการออกจากจีน ซึ่งก็จะทำให้เว็บไซต์ต่างชาติอื่นๆ ที่ปฏิบัติการอยู่ในจีนจะต้องประสบกับการตัดสินใจที่ยากลำบากเช่นกัน

ที่มา : วอยซ์ทีวี


เมื่อนักทวีตชื่อดังในประดับโลก มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และเล่าให้เราได้ฟังว่า เค้าดูแล twitter ของตัวเองอย่างไร ถึงได้ประสบความสำเร็จ จึงเป็นโอกาสของเรา ที่จะได้เรียนรู้ว่า แต่ละคนมีเทคนิคอย่างไร เราเลยต้องอาศัยวิชา “ครูพักลักจำ” กันซักหน่อย ในการทำ twitter marketing นั้นมีเทคนิคหลากหลาย แต่ละท่านมีเทคนิคไม่เหมือนกัน เรามาดูกันเลยครับ ว่าแต่ละท่าน มีเทคนิคอย่างไร

1. Tweet บ่อย ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดยเขียนด้วยคำพูดที่ฉลาด และมีสติในการเขียน ที่สำคัญคือ ต้องเป็น tweet ที่เราเขียนขึ้นเอง ไม่ซ้ำกับคนอื่น เพราะคนอ่านจะรู้สึกว่าเมื่อมาอ่าน tweet ของคุณแล้ว เค้าจะรู้สึกว่าคุณเป็นคนฉลาด (โดย Chris Brogan )

2. มีความสนใจในเรื่องที่จะ tweet อย่างจริงจัง มีความอยากที่จะเรียนรู้ และแบ่งปันข้อมูลที่มีคุณค่าผ่าน tweet ( โดย Perry Belcher )

3. Tweet บ่อย ๆ ในทุกเรื่องที่คุณคิดว่าน่าสนใจ (โดย Alyssa Milano)

4. หาเพื่อนใหม่ ๆ อยู่ตลอด โดยใส่ใจและให้น่ารักกับทุก ๆ คนอย่างเท่าเทียมกัน (โดย BuzzEdition)

5. แบ่งปัน tweet ที่มีคุณค่าต่อ community โดยการ retweet ข้อความที่มีประโยชน์ (โดย Jason Pollock)

6. ค้นหาสไตล์ของตัวเอง เพราะผู้คนจะชอบเมื่อคุณเป็นตัวของตัวเอง (โดย FeatureBlend)

7. อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะสนใจเรื่อง Social Media หรือเทคโนโลยีล้วน ๆ ดังนั้นลอง tweet เรื่องตลก ๆ หรือเรื่องที่น่าสนใจอื่น ๆ แทรกไปบ้าง ไม่ใช่ยึดติดกับ tweet ที่เป็นเรื่องหลัก ๆ ที่คุณจะเขียนเพียงอย่างเดียว (โดย Kim Sherrel)

8. Tweet แบบเฉพาะเรื่อง โดยให้เน้นเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่นหากคุณชอบเรื่อง design ก็เน้น tweet เกี่ยวกับดีไซน์ และลองตาม follow คนที่พูดเรื่องดีไซน์ (โดย Phaoloo)

เห็นไหมครับว่า แปดคนก็แปดสไตล์ แต่ละคนมีแนวทางของตัวเอง ผมว่าลองนำไปประยุกต์ใช้ดู และค้นหาดูว่าแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง แต่อย่าลืมว่า เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดครับ

ที่มา : เดลี่เอสอีโอบล็อคดอทคอม


มีหลายครั้งเมื่อผมได้ไป present งานกับลูกค้า และมักจะมีลูกค้าหลาย ๆ ท่านถามว่า แล้วเราจะวัดผลในแคมเปญแบบ Social Network หรือใน Social Media ได้อย่างไรบ้าง อะไรจะเป็นตัววัดที่ดีที่สุด จนในที่สุดวันก่อนผมได้อ่านบทความจาก econsultancy ซึ่งได้รวบรวมตัววัดผล หรือการกำหนด KPIs ในแคมเปญ Social Media ขึ้นมา ซึ่งเมื่อได้ลองอ่านดูแล้ว ก็พบว่าเป็นการกำหนดตัววัดที่ดี เราสามารถทำมาประยุกต์ใช้ในตลาดประเทศไทยได้ เลย ขอนำมาเล่าให้ฟังกันครับ

ตัววัดต่าง ๆ สำหรับวัดผล Social Interaction มีดังนี้

  1. Alerts – จำนวนคนที่มาลงทะเบียน รับข่าวสารแบบแจ้งเตือน โดยสามารถวัดโดยแยกตาม channel ต่าง ๆ ได้
  2. Bookmarks -จำนวนคนที่ทำการ bookmark ทั้งใน social media นั้น หรือสถานที่ bookmark อื่น ๆ เช่น delicious
  3. Comments – จำนวนคนมา comment ในแคมเปญของเรากี่คน
  4. Downloads – จำนวนคนที่มาดาวน์โหลดเนื้อหา / วีดีโอ / เกมส์ หรือ widget
  5. Email subscriptions – จำนวนอีเมล์ที่มาสมัครเพื่อรับข่าวสาร
  6. Fans – จำนวนคนที่มาเป็นแฟน เช่นใน facebook fan page
  7. Favourites – จำนวนคนที่มา add ไว้เป็น favourite (ดูได้ว่าคนชอบเนื้อหานั้น ๆ มากแค่ไหน)
  8. Feedback – จำนวนคนที่ให้ feedback
  9. Followers – จำนวนคนที่มา follow เช่นใน twitter
  10. Forward to a friend – จำนวนครั้ง / คน ที่ทำการส่งต่อให้เพื่อน
  11. Groups – จำนวนการสร้างกลุ่ม หรือเข้าร่วมกลุ่ม หรือจำนวนรวมของกลุ่มทั้งหมด
  12. Install widget – จำนวน widget ที่ถูกนำไปติดตั้งไว้ที่อื่น เช่นใน blog หรือใน facebook
  13. Invite / Refer – จำนวนการชวนเพื่อนมาทำกิจกรรม
  14. Key page activity – วัดจำนวนคนที่เข้ามาถึงหน้าเว็บเพจที่เราได้กำหนดไว้
  15. Love / Like this – จำนวนคนที่ชื่นชอบ (เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการ rating)
  16. Message – จำนวนข้อความที่ถูกส่งไปมาใน site นั้น ๆ
  17. Personalization – จำนวนหน้า หรือ theme ที่ถูก user ปรับแต่งให้ตรงกับสิ่งที่ตนชื่นชอบ
  18. Post – จำนวนการเขียนบทความ
  19. Profile – จำนวนการปรับแต่งโปรไฟล์ เช่น การอัพเดท avatar หรือข้อมูลส่วนตัว / ลิงค์ หรืออีเมล์ เป็นต้น
  20. Print page – จำนวนครั้งที่มีคนพิมพ์หน้านั้น
  21. Ratings – จำนวนการให้คะแนน
  22. Registered users – จำนวนคนร่วมลงทะเบียนเป็นสมาชิก โดยดูได้ทั้ง สมาชิกใหม่ / ยอดรวม / ที่ยัง active อยู่ เป็นต้น
  23. Report spam / abuse – จำนวนคนแจ้งว่าเป็น spam
  24. Reviews – จำนวนของการ review บางทีดูได้ถึงว่ารีวิวแล้วชอบ หรือรีวิวแล้วไม่ชอบ
  25. Settings – การตั้งค่าต่าง ๆ ของระบบที่ user ได้มาตั้งไว้
  26. Social media sharing / participation – จำนวนกิจกรรมบน social media ไซต์หลัก ๆ เช่น facebook, twitter, digg, zickr เป็นต้น
  27. Tagging – จำนวน tag ที่ user ได้สร้างไว้ สามารถดูลึกไปถึงว่าเค้าสร้าง tag ไหนมากสุด tag ไหนน้อยสุด
  28. Testimonials – จำนวนคนที่มาเขียนคำนิยม
  29. Time spent on key pages – ระยะเวลาที่มีผู้ใช้เข้ามาอยู่ในหน้าหลัก เพื่อดูว่าอยู่นานแค่ไหน
  30. Time spent on site – ระยะเวลาที่มีผู้ใช้เข้ามาอยู่ในเว็บ เพื่อดูว่าอยู่นานแค่ไหน สามารถแยกดูได้จากแหล่งที่มาของคนเข้าเว็บ
  31. Total contributors – จำนวนคนที่มามีส่วนร่วมในแคมเปญ
  32. Uploads – จำนวนชิ้นงานที่มีคนอัพโหลด เช่น ภาพ บทความ ลิงค์ หรือ วีดีโอ
  33. Views – จำนวนคนดูวีดีโอ ดูโฆษณา หรือไฟล์ประเภท Rich Media
  34. Widgets -จำนวนคนที่มาใช้วิดเจ็ท หรือเอาโค๊ตของวิดเจ็ทไปใช้
  35. Wishlists – จำนวนของสิ่งของที่มีคน add เพิ่มไว้เป็นรายชื่อของที่อยากได้ มักเห็นในเว็บ shopping เช่น amazon.com

หวังว่าข้อมูลเหล่านี้ น่าจะช่วยให้นักการตลาดหลาย ๆ ท่านได้ทำการวัดผลแคมเปญของตนเองใน social media ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นนะครับ

ที่มา : อีคอนเซาแทนซี่ดอทคอม

Traffic of SEO


Traffic-of-SEO-1เมื่อ สิ่งสำคัญของการจราจรทางออนไลน์ คือปัจจัยสร้างความสมดุลในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ SEO ถูกหยิบขึ้นมาเคาะสนิมอีกครั้งเพื่อสร้างข้อได้เปรียบในการสร้างการจราจรให้ กับบล็อก ถ้าจะกล่าวไปแล้วบล็อกการตลาดจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสามารถสร้างความได้ เปรียบทางการตลาดได้อย่างชัดเจน และมีความสามารถพอที่จะทำให้เกิดจำนวนผู้เยี่ยมชมมากพอที่จะสร้างเม็ดเงิน ให้กับบล็อกการตลาดนั้นๆ

ภายหลังการวางแผนด้านโครงสร้างทางด้านการเยี่ยมชม (Traffic) จุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่สุดเห็นจะเป็นรูปแบบของ Search Engine Optimization (SEO) แต่ใช่ว่าเราจะสามารถทำให้ประสบความสำเร็จได้น๊ะจะบอกให้ มันต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยและองค์ประกอบในหลายๆ ด้านด้วยกันไม่ว่าจะเป็น “เนื้อหา” , “จำนวนลิงค์” , “รูปภาพ” , และหน้าตาของบล็อกการตลาดของเรา ข้อสำคัญที่สุดก็คือมันจะต้องเป็นแบบ Creating SEO Friendly Content ด้วยน๊ะขอบอก หลายท่านชักเริ่มสงสัยว่า อ้าว…แล้วมันจะทำอย่างนั้นได้อย่างไรในเมื่อเนื้อหาส่วนใหญ่ที่เรานำมาทำการ ตลาดสินค้านั้นเราต้องเอามาจากเว็บผู้ค้า หรือจากแหล่งผู้ค้าอื่นๆ ซึ่งจะมีโอกาสสูงที่จะซ้ำกัน อันนี้ผมตอบได้เลยว่า ซ้ำ 100% ครับไม่มีไม่ซ้ำ แต่ในกรณีนี้เขาถือว่าเป็นกรณีพิเศษครับ

ที่ผมบอกว่ามันมีปัจจัยอื่นๆ เป็นองค์ประกอบนั้นก็คือตรงนี้หละครับ ในบางกรณี Search Engine เองก็ไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรตายตัว โดยเฉพาะกรณีของสินค้าและบริการต่างๆ เพราะว่ารายละเอียดสินค้านั้นมันก็เหมือนๆ กันเขาจะใช้กลวิธีอย่างอื่นในการวิเคราะห์ประเมินความได้เปรียบทางด้าน SEO และทำการจัดอันดับให้โดยไม่ซ้ำซ้อนกัน ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นผมจะลองค้นหาข้อมูลมานำเสนอให้ได้อ่านกันในเร็วๆ นี้ครับ

เมื่อถึงตอนที่เราต้องนำสินค้าและบริการมาพูดถึง และต้องมีการแนะนำข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า ตามวิธีการของบล็อกการตลาด แล้วนั้นจุดหนึ่งที่ผมเองสังเกตุได้ชัดเจนก็คือ tag นั่นเองในบางกรณีการวาง tag ที่ดีก็ช่วยให้สินค้านั้นๆ ติดอันดับได้ดีและเร็วเป็นอย่างมาก ซึ่งในกรณีนี้ผมเองเคยทดสอบอยู่หลายครั้งเกี่ยวกับคำ ที่ใช้ในการสร้าง tag ว่าจะช่วยให้ติดอันดับได้เร็วจริงๆ หรือไม่อย่างไรก็ได้ข้อสรุปดังนี้ครับว่า tag ช่วยให้หน้าเพจนั้นๆ ติดอันดับได้เร็วจริงๆ ครับแต่ว่าจะต้องเป็นคำที่มีการแข่งขันต่ำเอามากๆ หรือไม่ก็เป็นคำที่โดนจริงๆ ฟังดูก็ไม่ต่างไปจากการวางแผนด้านการใช้ keyword ในการสร้างเว็บเท่าใดนัก จุดนี้แหละครับที่มีเหมือนกันอย่างแยกไม่ออก

จากสถิติผมที่เคยทำงานมา จะทำให้เว็บติด index ได้เร็วหรือไม่ tag คือส่วนประกอบสำคัญอย่างหนึ่งเช่นกันครับ เร็วสุดที่ผมทำได้คือ 2-5 นาทีเท่านั้นเอง และสามารถทำอันดับได้ภายในเวลาแค่ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น ข้อเสียของการทำงานในลักษณะนี้ก็คือว่าจะติดอันดับอยู่ได้แค่ 24 ชั่วโมงหรือน้อยกว่านั้นแล้วจะหายไป กว่าจะกลับมาใหม่อีกครั้งก็ราวๆ 2 สัปดาห์หรืออาจมากกว่า ขึ้นอยู่กับปัจจัยโดยรวมที่แต่ละท่านจะสามารถค้นพบได้ ที่สำคัญให้คอยสังเกตุครับว่า จะเร็วหรือช้าบางทีอาจขึ้นอยู่กับเนื้อหาด้วยครับว่ามีการ optimization เพิ่มเติมหรือไม่อย่างไรถ้ามีอาจมาได้เร็วกว่าที่กำหนด

เรื่องของ traffic เรื่องของ seo คงมีเรื่องเล่ากันอีกมากมายก่ายกองเลยทีเดียวครับ เอาไว้โอกาสหน้าผมจะมา เล่าเกี่ยวกับขั้นตอนในการทำว่าทำอย่างไรให้ติดได้เร็ว และสามารถทำ traffic เข้ามาได้อย่างมีคุณภาพที่สุดสำหรับบล็อกของเรากันครับ

ที่มา : เมกเมนนี่ดอทคอม


การเลือกขายสินค้านั่น ถือได้ว่าเป็นประเด็นหลักๆ ที่อาจช่วยให้คุณหรือผมประสบความสำเร็จในการขายได้ ฉนั้นสิ่งสำคัญที่สุดที่คุณควรจะมีก็คือ “การเลือกสินค้ามาขายอย่างมีสติ” จากหลายเหตุการณ์ที่ผ่านๆ มานั้นเชื่อว่าหลายท่านอาจเคยอ่านบทความเก่าๆ ของผมเมื่อปี 2006 ที่ผ่านมาเกี่ยวกับกฏเกณฑ์การเลือกสินค้าเพื่อสร้างร้านค้าออนไลน์ aStore ที่เคยสร้างเงินให้กับผมอย่างมากมายในช่วงนั้น (ปัจจุบันก็ยังทำเงินนะครับ แต่อาจทำอันดับได้ยากกว่าอดีตมาก)

การเลือกสินค้าบางครั้งก็ต้องอาศัยกฏเกณฑ์ที่ซับซ้อนเช่นกัน แต่ในบางครั้งนั้นก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องเลือกสินค้าใดๆ เลยถ้าเราได้เลือกกลุ่มสินค้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหตุผลก็เพราะว่าเมื่อเราได้เลือกกลุ่มไปแล้วนั้นสินค้าภายในกลุ่ม จะขายได้อย่างแน่นอนโดยไม่มีเงื่อนไขเพราะความแคบของตัวเลือกนั้นมีการเฉพาะ เจาะจงมากขึ้น เช่นกลุ่มสินค้าประเภทเสื้อผ้า (คงไม่มีอย่างอื่นไปปนหรอกมังครับ เช่น ยารักษาโรค อะไรทำนองนี้)

ใน Amazon นั้นก็มีสินค้าอยู่มากมายก่ายกอง เป็นร้อยเป็นพันล้านรายการ คล้ายกับป่าอเมซอน ที่มีพืชหลากหลายชนิดนั่นแหละ แล้วก็ยังมีสิ่งที่อาจเป็นอันตรายด้วยเช่นกัน สินค้าบางตัวนั้นเป็นสินค้าที่ขายดีมากๆ แต่ว่าอาจไม่มีคนขายหรือเราค้นหาไม่พบ สินค้าเหล่านี้มักเป็นสินค้าที่ไม่ค่อยจะดังเพราะว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้กล่าว ถึง (จงค้นหามันให้เจอ) แล้วนำมาทำเป็นเงินให้กับเรา สินค้าลักษณะแบบนี้ผมเรียกว่า “สินค้าทำเงิน” พยายามอย่าสับสนระหว่างสินค้าขายดี กับ สินค้าทำเงินนะครับเพราะความเหมือนที่ว่านั้นต่างกัน

ก่อนการเริ่มต้นที่ดีเราต้องมองถึงความเป็นไปได้ในระยะยาวของเราเสียก่อน ครับว่า จะสามารถขายสินค้าเหล่านั้นได้นานตลอดทั้งปีหรือไม่อย่างไร หรือเราต้องแข่งขันกับใครบ้างในปัจจุบันและอนาคตอันไกล้นี้ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้มันเป็นผลสะท้อนที่อาจเกิดขึ้นในช่วงเวลาเพียงแค่ข้ามคืนเท่า นั้นเองครับ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ “จงมีสติให้รอบคอบก่อนการเลือกแนะนำสินค้าเสมอ” ไม่ใช่สับแต่ว่าพอเราเห็นว่าเขาขายสินค้าใดได้ดีเราก็อยากจะมีส่วนแบ่งกับ เขาบ้าง หรือไปขายแข่งกับเขาโดยที่ลืมมองที่ความสามารถในการแข่งขันของเราเช่น การขายกล้องดิจิตอล หรือ ทีวีต่างๆ ซึ่งแน่นอนครับว่าเราต้องแบกรับความยาวนานกว่าจะได้ขาจแจ๊คเสียบทีวีสักเส้น ที่อาจมีราคาเพียงแค่ $9 ให้เราได้เจ็บใจเล่นๆ ไปตลอดทั้งปีก็เป็นได้

ฉนั้นประเด็นสำคัญก็คือ ให้มองหาสินค้าที่อาจมีการแข่งขันที่น้อยเอามากๆ เพื่อนำมาทำตลาดและขายเพราะสินค้าเหล่านั้นจะเป็นสินค้าที่ทำเงินให้กับเรา ได้ตลอดปี และอาจจะตลอดไปด้วยถ้าคนอื่นไม่มาเจอกับสินค้าเดียวกับเราเสียก่อนนะครับ โดยทั่วไปแล้วอาจใช้เวลาสักระยะ และบางสินค้านั้นยาวนานจนเราอาจลืมไปแล้วว่าเรายังขายได้อยู่ทุกวัน เพราะสินค้าลักษณะนี้เป็นสินค้าที่ผมเองก็ทำอยู่ปัจจุบัน แต่การแข่งขันก็น้อยมากเช่นมีจำนวนการแข่งขันเพียงแค่ 7-10 เพจเท่านั้นเอง (อันนี้ยังไงก็ติดอันดับหน้าแรก ฮะๆๆๆๆ) แต่ก็ยังต้องแข่งอยู่ดีนะครับ เพียงแต่ว่ามันแข่งกันไม่รุนแรงมากเพียงแค่เราต้องให้ได้อันดับที่ 1-3 มาครองก็พอแล้ว

ผมมีวิธีในการเลือกสินค้าแบบง่ายๆ ดังนี้ครับ อันนี้เป็นวิธีการของผมซึ่งก็ใช้ได้ผลซะด้วยซิครับในปัจจุบัน นั่นก็คือ

  1. เลือกจากสินค้าที่อาจอยู่ลึกๆ ในหมวดหมู่นั้นๆ
  2. ตรวจดูการแข่งขันว่ามากน้อยแค่ไหนถ้าไม่เกิน 100-20,000 เพจผมเอามาขาย
  3. สินค้านั้นต้องราคาพอประมาณคืออยู่ที่ $25-$500 (ถ้าต่ำกว่านี้ หรือมากกว่านี้ไม่เอา)
  4. มีปริมาณการค้นหาอย่างน้อยวันละ 20-100 คน
  5. เป็นสินค้าที่นิยมในปัจจุบัน แต่คนไม่ขาย (อาจหายากหน่อยแต่มีแน่)
  6. เขียนบล็อกการตลาด พร้อมกับสร้างร้าน aStore เอาไว้ขายสินค้านั้นๆ ด้วย (ช่วยๆ กัน)
  7. กำหนดคำค้นหาให้ตรงจุด อาจต้องลองค้นๆ ดูหลายๆ วิธีการหน่อยแต่มีคำเด็ดๆ แน่

อันนี้ก็เป็นวิธีการต่างๆ ที่ผมใช้ในปัจจุบันนะครับและก็จะต้องมีการกำหนดว่าภายใน 2-3 สัปดาห์นั้นจะต้องขายสินค้าในกลุ่มนั้นๆ ได้ด้วยและต้องได้ตามเกณฑ์ที่ผมกำหนดเช่น 10 วันต้องผ่านที่ $100 หรือถ้าต่ำกว่านั้นก็ต้องมีแนวโน้มที่น่าสนใจจริงๆ โดยทั่วไปแล้วจะผ่านหมดเพราะการแข่งขันที่ต่ำและสินค้ามักเป็นที่นิยมแต่อาจ เป็นกลุ่มคนค้นหาในจำนวนที่น้อยกว่า เท่านั้นเองครับ ข้อสำคัญที่สุดให้หมั่นสังเกตุสิ่งที่ตนเองทำเสมอว่าผลไปในทิศทางใดบ้าง เพื่อจะได้ทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นนั่นเองครับ และถ้าท่านทำแบบนี้ผมเชื่อว่ายังไงก็ขายได้แต่จะมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับ ตัวท่านเองที่เลือกคำค้นหาได้ถูกต้องตามลูกค้าต้องการหรือไม่เท่านั้นเอง.

ที่มา : เมกเมนนี่ดอทคอม



ก่อนอื่นต้องขอขยายความคำว่า “Low Price High Money” กันก่อนครับว่า คำว่า Low Price นั้นมาจากคำว่า “Products Low Price” ครับก็คือสินค้าที่ราคาถูกนั่นเองครับ คำว่าถูกในใจผมก็คือราคาไม่เกิน $200 นั่นเองครับอาจอยู่ที่สักตั้งแต่ $10 ขึ้นไป ส่วนคำว่า High Money นั้นมาจากคำนี้ครับ “High Commission Money” ครับหมายถึงให้รายได้กับเราได้สูง

สวัสดีครับเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ทุกท่านครับวันนี้แวะมาอัพเดทเนื้อหาให้ได้อ่านกันสักหน่อยนะครับเพื่อ เป็นแรงกระตุ้นให้ทุกท่านนั้นมุ่งมั่นสร้างรายได้ให้กับตนเองต่อไปอย่างเข้ม แข็งครับ เพราะว่าอนาคตประเทศไทยอยู่ในมือท่านแล้วครับ เมื่อท่านมีรายได้จากต่างประเทศสูงขึ้นจะทำให้ไม่เพียงแค่ทุกคนที่สร้างราย ได้เท่านั้นได้ประโยชน์แต่ทำให้ประเทศเรามีสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วยครับ (นั่นไงมองการไกลไปโน่น..ฮะๆๆๆๆ)


ในตอนที่เราเริ่มสร้างรายได้นั้น ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านมองหาแต่สินค้าที่อาจให้ค่าคอมมิสชั่นสูงๆ เหตุก็เพราะว่าจะได้มีรายได้ที่สูงขึ้นนั่นเองครับ แต่ในความเป็นจริงอาจไม่ได้สูงอย่างที่คิด เพราะว่าสินค้าที่ให้ค่าคอมมิสชั่นสูงก็จะมีราคาแพงมากนั่นเองครับ ยกตัวอย่างเช่น HDTV พวกนี้นะครับเหตุก็เพราะว่าสินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าที่ฟุ่มเฟือย และราคาแพงมากๆ ด้วยแม้จะให้ค่าคอมมิสชั่นเพียงแค่ 4% ในอเมซอนแต่ก็ยังถือว่าต่อชิ้นนั้นแพงมากๆ เลยทีเดียวครับ เช่น Samsung LN52B750 ในตอนนี้ค่าคอมน่าจะสัก $80 ต่อชิ้น เห็นแล้วเป็นไงครับเหอๆๆๆ มันน่าขายใช่หรือเปล่าหละครับผม แต่ก็แน่นอนครับเมื่อมันได้ค่าคอมขนาดนี้การแข่งขันคงไม่ต้องบอกละครับว่า เยอะมั๊ย ก็ลองค้นๆ หาดูครับว่าเยอะแค่ไหน ถ้าภาษาชาวบ้านเขาเรียกว่า “หืดขึ้นคอ” ทำ SEO กันจนตาเหลือกก็ไม่สามารถทำอันดับได้ดีดีสักที ยิ่งถ้าคนที่ไม่เข้าใจถึงหลักการ SEO ในปัจจุบันด้วยแล้วคงไม่ต้องพูดกันเลยละครับ

เมื่อเหตุเป็นเช่นนั้นทำไมเราต้องไปต่อสู้บนถนนการแข่งขัน “สีเลือด (ทะเลสีแดง)” ด้วยเล่าเราก็ต้องหันมาดูสินค้าที่มีความจำเป็น ซึ่งอาจราคาต่ำกว่าแต่ให้ค่ำคอมมิสชั่นสูง เช่นราคาที่ $10-$200 อย่างที่ผมว่า (บางท่านเริ่มค้านแล้วครับว่า มันสูงตรงไหน) เอาหละผมให้ดูภาพก็แล้วกันครับเพราะว่า จะได้คิดตามได้ครับ
จากที่เห็นนี้สินค้าเหล่านี้ได้ค่าคอมฯ ตามเรทที่ยอดขายเพิ่มขึ้นแม้จะมีราคาไม่มากนัก แต่ก็ให้รายได้ที่เยอะมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้ต่อวันที่ขายสินค้าราคาแพง

จาก ที่เห็นนี้สินค้าเหล่านี้ได้ค่าคอมฯ ตามเรทที่ยอดขายเพิ่มขึ้นแม้จะมีราคาไม่มากนัก แต่ก็ให้รายได้ที่เยอะมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้ต่อวันที่ขายสินค้าราคาแพง


คำว่าคอมมิสชั่นสูงไม่ได้หมายถึงการได้ค่าคอมฯ มาต่อชิ้นหลายร้อยเหรียญครับ แต่การได้ค่าคอมที่สูงกว่านั้นมันต่างกัน เช่นทีวีที่ผมยกตัวอย่างอาจได้ค่าคอมฯ เพียงแค่ 4% เท่านั้นเองครับแต่สินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่อยู่ในกลุ่ม Electronics นั้นได้ค่าคอมฯ ตามจำนวนยอดขายที่เกิดขึ้นครับ คือ 4%-8.5% นั่นเองครับบางอย่างได้สูงถึง 15% เลยครับ สินค้าในกลุ่มเหล่านี้น่าขายกว่ากลุ่มแรกมากๆ ครับเพราะว่า

1. สินค้าราคาถูก ขายง่าย
2. การแข่งขันต่ำ คนทำน้อย
3. ได้คอมมิสชั่นตามยอดขาย
4. ทำให้ยอดขายเราสามารถขายได้เยอะ
5. อื่นๆ อีกแล้วแต่จะหาได้นะครับ

จากที่ผมทำๆ สินค้าในท้องตลาดมาไม่ได้จำกัดแค่ Amazon ที่เดียวเท่านั้นสินค้าเหล่านี้ทำเงินให้มากกว่าสินค้าราคาแพงหลายเท่าครับ เพราะขายได้ทุกวันและเยอะๆ ด้วยครับลองนึกภาพดูว่าแค่ได้ค่าคอมฯ ชิ้นละ $1 ถ้าเราขายได้วันละ 30 ออเดอร์ก็ปาเข้าไป $30 แล้วนะครับแล้วถ้าเกิดว่าเราขายได้อย่างนี้ตลอดทั้งเดือนเราได้ค่าคอมฯ จาก 4% เป็น 8% หรือ 8.5% รายได้เราจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวเลยทีเดียวครับเช่น ถ้าได้ที่ 8% นะครับชิ้นนี้ที่ตอนแรกเราได้แค่ $1 ต่อชิ้นจะได้ที่ $2 ต่อชิ้นถ้าขายได้ 30 ชิ้นต่อวันก็เท่ากับเรามีรายได้ $60 ต่อวันแบบนิ่งๆ กันเลยก็ว่าได้ครับแบบไม่ต้องรอลุ้นว่าอาทิตย์นี้จะมียอดขายได้ HDTV กี่เครื่องกันเลยก็ว่าได้ครับ ผมจะลองคำนวนคร่าวๆ ให้เห็นกันชัดมากขึ้นนะครับว่า ถ้าเราสามารถทำรายได้ที่ $60 ต่อวันได้ละก็ลองเอามารวมๆ กันต่อเดือนนะครับจะได้ดังนี้ครับ

$60×30 = $1800 คิดเป็นเงินไทยก็ราวๆ 35x$1800 = 63,000 บาทโดยประมาณครับ เป็นไงครับรายได้ไม่ใช่น้อยเลยนะครับเนี่ยะ ตรงนี้แหละครับคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการสร้างรายได้จาก “บล็อกการตลาด” เพราะรายได้เหล่านี้จะเป็นรายได้ที่พอจะทำให้เรามีเงินซื้ออะไรที่เป็นทรัพย์สินได้อีกมากมายเลยทีเดียวครับ

ครับและนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ผมเองอยากจะมาบอกเล่าให้ได้อ่านกันนะครับ เพราะหลายๆ ท่านนั้นเริ่มต้นจากสิ่งที่ยากก็อาจทำให้ท้อแท้ได้ อย่ามองข้ามสิ่งที่อยู่ไกล้ตัวเราครับเพราะสิ่งนั้นที่เขาเรียกกันว่า “เส้นผมบังภูเขา” เหมือนๆ กับที่เราเคยๆ เป็นกันมาตลอดจนทุกวันนี้ละครับ.

ที่มา : เมกเมนนี่ดอทคอม

หลายท่านที่แวะเข้ามาในบล็อกแห่งนี้อาจบอกว่า เฮ้ยนี่มันบ้าไปแล้วหรือเปล่าวะเนี่ยะ (ขออภัยที่ไม่สุภาพนะครับ) ทำไมเอาเรื่องเดิมๆ เหล่านี้มาพูดอีกหละ ผมก็อยากจะบอกว่าเรื่องเดิมๆ เหล่านี้แหละนะครับที่ทำให้ใครต่อใครหลายคน ต้องคอยศึกษาอยู่เป็นประจำเพราะว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นได้เสมอ เนื้อหาของเว็บแห่งนี้ก็เช่นเดียวกันครับ เมื่อสูญหายไปผมก็ต้องเขียนมาใหม่ ในแบบใหม่เพื่อให้เกิดความทันสมัยขึ้นนั่นเองครับ

Search Engine คือเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมดัชนีของเว็บเพจ หรือเว็บไซต์ในโลกนี้โดยใช้โปรแกรมตัวเล็กๆ ที่เราๆ ทุกคนอาจรู้จักในชื่อว่า Robot หรือ Spider นั่นเองครับ Search Engine มีการให้บริการที่ฟรีๆ อยู่สองลักษณะครับคือ

1. การให้บริการทำดัชนีเว็บเพจและเว็บไซต์ด้วย Robot หรือ Spider เมื่อเว็บไซต์มีการอัพเดทเนื้อหาใหม่ๆ

2. ให้บริการฟรีเครื่องมือค้นหาข้อมูลผ่านออนไลน์ (อันนี้คนใช้กันเยอะ)

ในปัจจุบันนั้น Search Engine ถูกแบ่งแยกออกเป็นหลายๆ กลุ่มด้วยกันครับ แต่ที่เราๆ ท่านๆ รู้จักและใช้กันเป็นประจำเป็นจะเป็นกลุ่มที่ชื่อว่า “Crawler-Based Search Engines” เพราะเป็นกลุ่มที่มีการใช้ฐานข้อมูลและส่ง Spider หรือ Robot ไปทำการบันทึกข้อมูลหน้าเพจต่างๆ จากทั่วโลกเอามาจัดเก็บให้เป็นระเบียบและมีการจัดอันดับตามความเหมาะสมของ เนื้อหานั้นๆ (ตรงนี้แหละครับที่เราเอามาทำพวก SEO)

ข้อมูลที่ Spider หรือ Robot ทำสำเนานั้นจะได้รับการจัดเก็บเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ที่เีรียกว่า “Search Engine Index Server” เมื่อใดก็ตามที่มีคนค้นหาข้อมูลผ่านหน้าเว็บของ Search Engine ที่ให้บริการอย่างเช่น Google เจ้า Search Engine Index Server ก็จะทำการประมวลผลข้อมูลต่างๆ ที่ตนเองมีอยู่และแสดงผลออกมาให้ตรงตามความต้องการข้อมูลนั้น ๆ โดยวิเคราะห์จากความเหมาะสมของเนื้อหา และความสมบูรณ์ของเนื้อหา ซึ่งมีส่วนประกอบต่างๆ หลายอย่างด้วยกัน เช่น รูปแบบเนื้อหา Keywords และองค์ประกอบอื่นๆ ตามแต่ละที่นั้นกำหนดเอาไว้เพื่อวิเคราะห์ผล

ในกลุ่มนี้ก็ได้แก่ Google,Yahoo!,ฺBing (MSN Live) นั่นเองครับ ส่วนหน้าตาของ Search Engine ประเภทนี้นั้นก็แล้วแต่การออกแบบครับ และการวิเคราะห์ความแม่นยำในการนำแสดงเนื้อหาก็แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการพัฒนาของแต่ละแห่ง เพราะทุกอย่างที่ให้บริการนั้นล้วนเป็นความลับต่อกันทั้งสิ้น ตรงส่วนนี้เองทำให้เราสามารถใช้บริการ การค้นหา ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น เพราะเกิดการแข่งขันการให้บริการครับ เอาหละเราไปดูหน้าตาของแต่ละที่กันครับเริ่มจากยักษ์ใหญ่แห่ง Search Engine อย่าง Google ก่อนก็แล้วกันครับ

Google Search Engine

Yahoo! Search Engine

Bing Search Engine

ครับจะเห็นได้ว่ารูปแบบหน้าตา ความน่ารักก็แตกต่างกันออกไปครับ สำหรับวิธีการใช้งานนั้นผมคงไม่ขอกล่าวถึงนะครับเพราะว่า หลายๆ ท่านอาจใช้เป็นอยู่แล้วหรือถ้าท่านใดใช้งานไม่เป็นก็ถามคนที่เขาใช้เป็น ข้างๆ ก็ได้ครับ (ฮะๆๆๆๆ)

ที่มา : เมกเมนนี่ดอทคอม

Newer Posts Older Posts Home