สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาพูดถึงลักษณะของคีเวิร์ดชนิดต่างๆ ที่ใช้งานในกูเกิลแอดเวิร์ดกันครับ โดยประโยชน์ของการที่ใช้ Keyword Matching Options อย่างเหมาะสมนั้น จะช่วยทำให้คุณลดค่าใช้จ่ายการโฆษณาและเพิ่ม ROI ให้แคมเปญโฆษณาของคุณ และแน่นอนว่า Quality Score (QS) ของคุณย่อมดีขึ้นแน่นอนครับ สำหรับบริการโฆษณากูเกิลแอดเวิร์ดนั้นมี Keyword Matching Options หลักๆ อยู่ 4 ประเภท ได้แก่ Broad Match, “Phrase Match”, [Exact Match] และ -Negative Keyword โดยการเลือกใช้ Keyword Matching Options แต่ละชนิดก็มีข้อได้เปรียบและข้อจำกัดในการใช้งานที่แตกต่างกันไป ซึ่งผู้ใช้อย่างพวกเราจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดและนำมาปรับใช้ให้เข้ากับ กลยุทธ์ที่เราวางแผนไว้ในการทำโฆษณาผ่านกูเกิลแอดเวิร์ดกันนะครับ เพื่อประสิทธิผลทางการโฆษณาที่ดีต่อธุรกิจของพวกเราเอง คราวนี้เรามาทำความรู้จัก Keyword Matching Options ทั้ง 4 ประเภทกันเลยครับ
1. Broad Match
Keyword ในประเภทนี้เป็นค่าพื้นฐานของ Keyword ในการใช้งานโฆษณากูเกิลแอดเวิร์ด ถ้าคุณเลือกใช้ Keyword ประเภทนี้ โฆษณาของคุณจะถูกเห็นมากที่สุดแต่ผู้ใช้งานอินเตอร์เนตที่เห็นโฆษณาของคุณ อาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของคุณเพราะหลักการทำงานของ Keyword ประเภทนี้จะมีลักษณะการทำงานดังนี้ เช่น คีเวิร์ดของคุณคือ Bangkok Restaurant โฆษณาของคุณจะถูกแสดงเมื่อมีคนเซิร์สค้นหาด้วยคำว่า Bangkok Restaurant, Bangkok, Restaurant, Bangkok Hotel, Paris Restaurant, Bangkok Italian Restaurant จากตัวอย่างจะเห็นว่าทุกครั้งที่มีคนค้นหา ถ้าในคำค้นหามีคำว่า Bangkok หรือ Restaurant ประกอบในคำค้นหาเมื่อไร โฆษณาของคุณจะมีโอกาสที่จะแสดงออกมาด้วย ดังนั้นถ้าโฆษณาด้วยคีย์เวิร์ดประเภทนี้โฆษณาของคุณอาจจะถูกเห็นมากที่สุด แต่ผู้ใช้งานอินเตอร์เนตที่เห็นโฆษณาของคุณอาจจะไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของคุณ เพราะคนที่ค้นหาด้วยคำว่า Bangkok Hotel น่าจะเป็นคนที่กำ่ลังหาโรงแรมในกรุงเทพคงไม่ใช่คนที่จะมาหา ร้านอาหารในกรุงเทพ แน่ๆครับ ดังนั้นการใช้ Keyword Matching Options ประเภทนี้ต้องเลือกใช้ให้ดีนะครับ ข้อดีหรือข้อได้เปรียบของคีย์เวิร์ดประเภทนี้ก็คือ ช่วยคุณประหยัดเวลาในการทำแคมเปญโฆษณา ไม่ต้องใส่อะไรกำกับเพิ่มลงไปในคีย์เวิร์ดและคีย์ฺเวิร์ดประเภทนี้ก็ทำให้ โฆษณาของคุณถูกพบเห็นมาก (Impression สูง) ข้อเสียหรือข้อจำกัดของคีย์เวิร์ดประเภทนี้ก็คือ บางครั้งโฆษณาของคุณแสดงไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งส่งผลให้อัตราการคลิกเข้าชมโฆษณาของคุณน้อยลง (CTR ต่ำ) และก็ส่งผลให้ Quality Score ไม่ดี และถึงแม้ว่าจะมีคนคลิกโฆษณาของคุณเข้ามาดูแต่ถ้าเค้าไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ของคุณแล้วเค้าย่อมไม่สนใจสินค้าหรือบริการของคุณแน่นอนนั่นหมายความว่า Conversion Rate ของแคมเปญโฆษณาของคุณนั้นก็น้อยลงไป
2. Phrase Match
การเลือกใช้คีเวิร์ดประเภทนี้คุณต้องใส่เครื่องหมาย “คำพูด” คลุมคีย์เวิร์ดที่คุณใช้ โฆษณาของคุณจะแสดงต่อเมื่อมีคนค้นหาด้วยวลีหรือกลุ่มคำที่อยู่ใีนเครื่อง หมายคำพูดเท่านั้น เช่น คีเวิร์ดของคุณคือ “Bangkok Hotel” โฆษณาของคุณจะถูกแสดงเมื่อมีคนเซิร์สค้นหาด้วยคำว่า Bangkok Hotel, Cheap Bangkok Hotel, Bangkok Hotel With Restaurant แต่จะไม่ถูกแสดงถ้ามีคนค้นหาด้วยคำว่า Hotel Bangkok, Bangkok Boutique Hotels, Landmark Hotel Bangkok จากตัวอย่างจะเห็นว่า ถ้ามีคนค้นหาด้วย คำค้นหาที่มีกลุ่มคำว่า “Bangkok Hotel” อยู่ด้วยโฆษณาจะถูกแสดงขึ้นมา โดยต้องเรียงลำดับก่อนหลังตามที่กำหนดไว้ถ้ามีการสลับคำเป็น Hotel Bangkok โฆษณาก็จะไม่แสดงขึ้นมา ข้อดีหรือข้อได้เปรียบของการใช้คีย์เวิร์ดประเภทนี้ก็คือ จะ่ช่วยทำให้โฆษณาของคุณตรงกลุ่มเป้าหมายยิ่งขึ้นทำให้ CTR, QS และ Conversion Rate ของคุณดีขึ้น ส่วนข้อเสียหรือข้อจำกัดของคีย์เวิร์ดประเภทนี้ก็คือ คนที่ค้นหาต้องค้นหาด้วยคำที่เรียงลำดับก่อนหลังอย่างถูกต้องดังตัวอย่างที่ แสดงให้เห็น ถ้าสลับตำแหน่งของคำ โฆษณาก็จะไม่ถูกนำมาแสดง การเลือกใ้ช้คีย์เวิร์ดประเภทนี้สามารถทำได้โดยใส่เครื่องหมาย คำพูด” คลุมคีย์เวิร์ดที่คุณต้องการนะครับ
อีก 2 ประเภท ต่อคราวหน้าน่ะครับ
ลักษณะของ Keyword ชนิดต่างๆ ในกูเกิลแอดเิวิร์ด (ภาค 1)
ลักษณะของ Keyword ชนิดต่างๆ ในกูเกิลแอดเิวิร์ด (ภาคจบ)
ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม
สวัสดีครับ วันนี้ขอนำทุกท่านมาทำความรู้จักกับ Google Adwords กันครับ
Google Adwords คือ บริการโฆษณาเซิร์สเอ็นจิ้นระดับโลกอย่างกูเกิล และก็ยังเป็นแหล่งรายได้หลักของกูเกิลอีกด้วยนะครับ กูเกิลได้ให้บริการแอดเิวิร์ดครั้งแรกเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2545 (ค.ศ.2002) โดยบริการโฆษณา Google Adwords นั้นได้ให้บริการทั้งโฆษณาแบบ Pay Per Click, Pay Per Impression และล่าสุดคือการให้บริการแบบ Pay Per Action โดยสามารถโฆษณาผ่านเซิร์สเอ็นจิ้นของกูเกิลเอง หรือเลือกแบบ site-targeted advertising หรือจะเลือกลงใน partner sites และ content network ของกูเกิลก็ได้ครับ โดยคุณสามารถเริ่มต้นใช้บริการกูเกิลแอดเวิร์ดได้อย่างง่ายดายโดยการทำการ สมัครใช้บริการและมีค่าใช้จ่ายครั้งแรกในการสมัครที่น้อยมากเพียงแค่ 5 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาเท่านั้น คุณก็สามารถเริ่มต้นใช้บริการโฆษณากูเกิ้ลแอดเิวิร์ดได้ทันที
ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม
ปัจจุบันนี้ มีผู้ให้บริการโฆษณา Pay Per Click หลักๆ ที่คนนิยมใช้อยู่ 3 แห่งคือ Google Adwords, Yahoo Search Marketing และ Microsoft adCenter นะครับ และอย่างที่พวกเรารู้กันดีอยู่แล้วว่าผู้ให้บริการโฆษณา Pay Per Click 3 รายใหญ่ที่กล้าวถึงข้างต้น นั้นมี Search Engine ของตัวเองที่มีผู้เข้าใช้จำนวนมหาศาลในแต่ละวัน ที่เข้ามาค้นหาข้อมูลด้วยกลุ่มคำค้นหา (Keyword) ที่หลากหลาย และนอกจากนั้นยังมีเว็บไซท์ที่เป็นพาร์ทเนอร์ของผู้ให้บริการโฆษณา Pay Per Click 3 รายใหญ่ อีกมากมายที่คอยรองรับการใช้งานของผู้โฆษณา (Advertisers) อย่างพวกเราๆนะครับ นอกจากผู้ให้บริการโฆษณา Pay Per Click 3 รายใหญ่ ก็ยังมีผู้ให้บริการโฆษณา Pay Per Click อีกจำนวนมากในตลาดแต่ความนิยมในการใช้งานน้อยกว่ารายใหญ่มากให้พวกเราเลือก ใ้ช้กันอีกนะครับ เ่ช่น Ask.com, Baidu, LookSmart, MIVA, Yandex เป็นต้นนะครับ เชิญเพื่อนๆเลือกใช้กันให้เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจของเพื่อนๆเลยครับ แต่อย่าลืมวางแผนในการเข้าไปใช้งานด้วยนะครับ ว่าต้องการนำมาใช้เพื่อเป้าหมายอะไร
ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม
การโฆษณาแบบ Pay Per Click นั้นจะเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาก็ต่อเมื่อมีการคลิกโฆษณาผ่านเข้ัาไปชม เว็บไซท์ที่เราได้ไปลงโฆษณาไว้ โดยราคาค่าโฆษณาขึ้นกับ กลุ่มคำค้นหา (Keyword) ที่ผู้ลงโฆษณาได้เลือกไว้ และค่าโฆษณาในแต่ละตลาด แต่ละ keyword ก็มีราคาที่แตกต่างกัน การโฆษณาแบบ Pay Per Click นั้นถ้าคุณต้องการให้โฆษณาของคุณอยู่ในอันดับแรกๆ และมีโอกาสในการถูกเห็น (มี Impression) และมีโอกาสในการถูกคลิกเพื่อเข้าชมเว็บไซท์ที่คุณทำการลงโฆษณาไว้นั้น คุณจำเป็นต้องเสนอราคาค่าโฆษณาในคำค้นหาเดียวกันกับคู่แข่งของคุณให้สูงกว่า ราคาที่คู่แข่งเสนอมา (ผมเรียกว่า Bid ให้สูงกว่าคู่แข่ง) แต่ในปัจจุบันราคา Bid ไม่ได้เป็นเพียงแค่ปัจจัยเดียวในการนำเข้ามาคิดอันดับในการแสดงโฆษณาแล้ว ในปัจจุบันนั้นผู้ให้บริการโฆษณาแบบ Pay Per Click ได้นำเอาระบบ Quality Score (QS) เข้ามาใช้คำนวนในการจัดอันดับโฆษณาเพิ่มขึ้น โดยเริ่มแรกสมัยที่ยังไม่มี Factor อะไรมากมายใน QS นั้น ผู้ให้บริการโฆษณาแบบ Pay Per Click ใช้เพียงแค่ราคา Bid กับ CTR (Click Through Rate คือ อัตราการคลิกผ่านโฆษณาต่อการเห็นโฆษณา เช่น เห็นโฆษณา (Impression) 100 ครั้ง มีคนคลิกเข้าดู 10 ครั้ง ถ้าเป็นกรณีนี้ CTR จะเท่ากับ 10%) ซึ่งในอดีตการทำโฆษณา PPC มีความซับซ้อนในการจัดอันดับโฆษณาที่น้อยกว่าในยุคปัจจุบันอยู่มากพอสมควร รายละเอียดเทคนิคต่างๆ ที่เกี่ยวกับ Pay Per Click ผมขออนุญาตที่จะนำมาเขียนให้อ่านในหัวข้อต่อๆไปนะครับ ติดตามรับชมกันได้เรื่อยๆ
ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม
วันนี้จะมาเล่าให้ฟังถึงคำจำกัดความของ PPC หรือ Pay Per Click Advertising ว่าคืออะไร มีรายละเอียดอย่างไร มีความหมายอ้างอิงไปถึงอะไรบ้าง มีความสำคัญอย่างไร และในปัจจุบันมีผู้ให้บริการ Pay Per Click Advertising รายใหญ่เป็นใครกันบ้าง ซึ่งครั้งนี้ก็เหมือนครั้งที่ผ่านๆ มา ในเวลาที่ผมต้องการหาข้อมูลที่เกี่ยวกับ Internet Marketing นั้นก็ต้องไปสั่งซื้อหนังสือหรือ e-book ของต่างประเทศมาศึกษาเหมือนเช่นทุกครั้ง ด้วยเหตุผลเดิมๆ คือ องค์ความรู้ทางด้านนี้ในประเทศไทยมีน้อยเหลือเกินในช่วง 2-3 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2548-2549) เอาละครับ กลับมาดูความหมายคำจำกัดความของ Pay Per Click Advertising ที่ผมได้รวบรวมข้อมูลมาจากหลายๆแหล่งข้อมูลกันดีกว่าครับ
Pay Per Click Advertising คือ รูปแบบการโฆษณาผ่านอินเตอร์เนตรูปแบบหนึ่ง เป็นการโฆษณาผ่านเซิร์สเอ็นจิ้น(Search Engine) หรือเครือข่ายโฆษณาอื่นๆ (Advertising Networks) หรือเว็บไซท์ที่เป็นพาร์ทเนอร์ของ Search Engine และ Advertising Networks รวมไปถึงเว็บไซท์ที่เป็นเว็บที่มีเนื้อหาเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ซึ่งเหมาะกับการลงโฆษณาสินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น บล็อคทางด้านการท่องเที่ยว จะเหมาะกับการโฆษณาบริการจองตั๋วเครื่องบิน จองโรงแรมเป็นต้น ซึ่งเว็บไซท์เนื้อหาผมขอเรียกว่า Content Sites แทนนะครับ ซึ่งเวลาเราไปทำการโฆษณา PPC เราสามารถเลือกได้ว่าจะให้โฆษณาเราปรากฏใน Content Sites หรือ Content Network เหล่านั้นหรือเปล่า ซึ่งถ้าวางแผนในการนำมาใช้งานที่ดีแล้วก็สามารถสร้างกำไรให้แก่ธุรกิจของคุณ ได้เป็นอย่างดี
ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม
แต่หากใครต้องการวิธีลัดที่ไม่ใช่การทำ seo ทาง Search Engine เองก็มีให้ครับ ซึ่งเรียกวิธีนี้ว่า "Pay per Click" ค่าย GOOGLE นั้นมี Campaign ชื่อ Google adword ส่วนฝั่ง Yahoo! ก็มี " Sponsored Search " ครับ โดยเราต้องไปเลือก keyword และเข้าสมัครสมาชิกเพื่อประมูล keyword และเมื่อให้ราคาสูงที่สุดเว็บของคุณก็จะอยู่ผลการค้นหาด้วย keyword นั้น ในหน้าแรกเช่น ( ดูภาพข้างล่าง ) dmd.co.mz ประมูล keyword "web design" ได้เป็นอันดับหนึ่ง ชื่อของ จะไปปรากฏเป็นอันดับหนึ่งในส่วนของ google adword เป็นชื่อแรกครับ
แต่ วิธีนี้คุณจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเมื่อมีผู้คลิ๊กที่ลิ๊งค์ของคุณเป็นจำนวน เงินเท่าคุณเสนอราคาประมูลได้ให้แก่ Search Engine เช่น หากคุณประมูลคำนี้ในราคา ( สมมุตินะครับสมมุติ ) 0.50 บาทต่อคลิ๊ก ทุกครั้งที่ผู้ชมคลิ๊กลิ๊งค์ของคุณ 0.50 บาทในมือคุณก็จะหลุดลอยไปอยู่ในมือของ Search Engine ครับ
ดังนั้น คงต้องชั่งนำหนักดูกันแล้วครับว่า การ ทำ Search Engine Optimization กับการทำ Pay per Click อย่างใดจะคุ้มค่ากว่ากัน
ปัจจุบันการออกแบบเว็บไซต์นั้นมีความสะดวกสบายกว่าเมื่อก่อนมาก ทั้งโปรแกรมแจกฟรีที่ทำงานเทียบเท่าหรือดีกว่าโปรแกรมเสียเงิน เช่น Wordpress Blog, Joomla CMS รวมถึงเว็บเท็มเพลต (Web Template) ซึ่งมีแบบสวย ๆ แจกฟรีเต็มไปหมด เพียงแค่นำไปดัดแปลงส่วนหัวตรงโลโก้ ใส่เนื้อหาเข้าไป ก็ได้เว็บมาอันนึงแล้ว สะดวกสบายและรวดเร็ว
ฟังดูแล้วเหมือนจะดูดี แต่…
การออกแบบเว็บนั้น นอกจากการคำนึงถึงความสะดวกของผู้เข้าเยี่ยมชมและความสวยงามเป็นหลักแล้ว อีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ การมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น และแตกต่างจากคนอื่น โดยเฉพาะคู่แข่งของคุณเอง
ถ้าคุณทำเว็บส่วนตัว คุณจะทำยังไงก็ได้ แต่ถ้าเป็นเว็บในรูปแบบองค์กร บริษัทแล้ว คุณควรที่จะออกแบบเว็บในแบบฉบับของคุณเอง มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเท่านั้น
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น??
เพราะหน้าตาของเว็บก็เปรียบเสมือนหน้าตาขององค์กร หากเว็บของคุณสวยงามแต่เหมือนกับของอีกหลาย ๆ คน หรือแย่กว่านั้น เหมือนคู่แข่งของคุณ คงสื่อได้อย่างดีกว่า องค์กรของคุณมีภาพลักษณ์อย่างไร ทำงานแบบไหน และคงตอบกับผุ้้เข้าชมเว็บไซต์ไม่ได้ว่า ทำไมพวกเค้าถึงควรเลือกคุณมากกว่าคู่แข่งของคุณ
การประหยัดในการออกแบบโดบใช้เว็บเท็มเพลตทั่ว ๆ ไปเพียงอย่างเดียวนั้น อาจทำให้มูลค่าขององค์กรสูญเสียไปมากกว่าที่คิด ธุรกิจของคุณมีมูลค่าสูงเท่าใด เว็บไซต์ของคุณก็ควรจะสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าที่สูงขององค์กรคุณเท่านั้น
เป็นเหตุผลว่า ทำไมการออกแบบเว็บของ คลิกบีเคเคทุกชิ้นจึงออกแบบโดยไม่ใช้เท็มเพลตเป็นตัวหลัก งานทุกชิ้นถูกออกแบบอย่างมีเอกลักษณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละ รายที่แตกต่างกันเท่านั้น เพราะเรารู้ดีว่าจะสร้างเอกลักษณ์ให้กับองค์กรนั้น ๆ ได้อย่างไรนั่นเอง
ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม
ก่อนที่จะเริ่ม ทำเว็บเพจ เราควรพิจารณาก่อนว่า web page ที่จะทำนี้ มีจุดมุ่งหมายอะไร และ ควรคำนึงถึงผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์เป็นหลักด้วย
ก่อนอื่น ควรเลือกเนื้อหาของ webpage แล้วค่อยจัด โครงสร้างของเว็บเพจ หรือ จัดรูปแบบของการนำเสนอผ่านเว็บเพจ ซึ่งตั้งอยู่บนหลักที่ว่า ทุกคนสามารถเข้าดูได้ และ ง่ายต่อการค้นหาข้อมูล
รายละเอียดปลีกย่อยของ content ในเว็บเพจ ก็นับเป็นสิ่งสำคัญ เช่น ตัวหนังสือ background สี รูปภาพ animation เสียงประกอบ และ ไฟล์ video
สิ่งที่ควรมีเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของเรา ได้แก่ website feedback, guestbook, search box, site map, contact us และ about us เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น รู้ว่าเราคือใครหรือหน่วยงานใด และช่วยให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็วทันใจ
เมื่อทำเว็บเพจเสร็จแล้ว ควรทำการตรวจสอบ webpage เสียก่อน ก่อนที่จะ upload ขึ้นสู่สายตาสาธารณชนต่อไป และ ยังควรติดตาม ตรวจสอบ ปรับปรุง และ เปลี่ยนแปลงเพื่อให้ webpage ดูดีขึ้นอยู่เสมอ
ความต้องการของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ มีความหลากหลายมาก ดังนั้น ควรจัดหมวดหมู่ของข้อมูลที่กระจัดกระจาย ให้รวบรวมอยู่ภายใต้หัวข้อหลักที่เกี่ยวข้องกัน เพื่อง่ายต่อการเลือกเข้าชม web page ที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์สนใจ อนึ่ง การจัดหมวดหมู่เว็บเพจนี้ จะช่วยให้การดูแลรักษา และ การตรวจสอบข้อผิดพลาดต่าง ๆ ของเว็บเพจได้ง่ายยิ่งขึ้น
ข้อสำคัญอีกประการหนึ่ง การทำเว็บเพจ ควรสามารถดูได้ดี ผ่าน web browser ต่าง ๆ ได้แก่ Internet Explorer, Firefox, Netscape, Opera, Safari เป็นต้น ถือว่าเป็นการขยายฐานของผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ได้มากขึ้น หากทำเว็บเพจ ออกมาแล้วสามารถดูดีได้เพียง web browser บางตัว ก็จะเป็นการลดจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ลงไปด้วย
ข้อเสนอแนะหรือคำติชม จากผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา นับเป็นสิ่งสำคัญ ที่ควรนำมาพิจารณาเพื่อ ปรับปรุงเว็บเพจ และ ควรกล่าวคำขอบคุณผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ ที่แสดงความคิดเห็น และ แจ้งข้อผิดพลาดของเว็บไซต์ให้เราทราบ
ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม
การทำแบนเนอร์โฆษณา (banner ads) ได้เกิดขึ้นมาเมื่อปี 2537 ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง ในวงการตลาดออนไลน์เป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ได้หันมาใช้ banner ads เป็นจำนวนมาก เพื่อ โปรโมทเว็บไซต์ สินค้า และ บริการของตัวเอง
การทำแบนเนอร์โฆษณานั้น มีประโยชน์อย่างน้อย 3 อย่างด้วยกัน คือ:-
1.) ดึงดูดใจให้ผู้เข้าชมเว็บไซต์ กดที่แบนเนอร์โฆษณา เข้าไปดูเว็บไซต์ของผู้ลงโฆษณา ซึ่งเราจะพบเห็นการโฆษณาในรูปแบบนี้กับ affiliate program และ pay per click บางตัว เช่น Google AdSense เป็นต้น
2.) โลโก้แบนเนอร์โฆษณา ยังสามารถช่วยเราสร้างแบรนด์ให้กับเราได้อีกทางหนึ่ง เมื่อผู้เยี่ยมชมพบเห็นโลโก้แบนเนอร์โฆษณาของเรา ปรากฏอยู่ในที่ต่าง ๆ และเขารู้จักเว็บไซต์ของเรามากขึ้น จาก การทำแบนเนอร์โฆษณา และ ยังช่วยบอกกันปากต่อปากไปเรื่อย ๆ
3.) การออกแบบโลโก้แบนเนอร์ ไว้เพื่อใช้ โปรโมตเว็บไซต์ เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับเว็บไซต์ของเราได้ เพราะแสดงให้คนอื่นเห็นว่า เราให้ความสนใจต่อรายละเอียดต่าง ๆ ซึ่งแม้จะเป็นเพียงจุดเล็ก ๆ ก็ตาม ผู้ใช้บริการเว็บไซต์ของเรา ย่อมเกิดความไว้วางใจที่จะใช้บริการสินค้า และ บริการของเราตามมา
สำหรับขนาดโลโก้แบนเนอร์ ที่ลูกค้าของ ClickBKK นิยมสั่งทำแบนเนอร์โฆษณากันมาก และ เราจะเห็นได้ทั่วไปตามเว็บไซต์ affiliate program และ Google AdSense ประเภท banner ads นั้น ได้แก่ :-
728 x 90
468 x 60
234 x 60
120 x 60
125 x 125
250 x 250
100 x 100
120 x 600
88 x 31
ในฐานะที่เป็น บริษัทรับทำแบนเนอร์ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน บริษัท คลิก บีเคเค จำกัด(บริการในเครือ Wittybuzz) ได้ช่วยให้ลูกค้าหลาย ๆ บริษัท ที่ให้ทีมงานของเรา ดีไซน์โลโก้แบนเนอร์ ให้นั้น เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางมากขึ้น ซึ่งความสำเร็จของลูกค้าของเราดังกล่าวนั้น นับเป็นความภาคภูมิใจของทีมงาน บริษัท คลิก บีเคเค จำกัด อย่างหาที่สุดมิได้
บริษัท คลิก บีเคเค จำกัด (บริการในเครือ Wittybuzz) ยินดีให้บริการรับทำแบนเนอร์ ทุกรูปแบบ ทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ flash หรือ พาโนราม่า เรามีความชำนาญ และพร้อมที่ะทำให้คุณประทับใจ
ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม
ขั้นตอนของ การออกแบบเว็บไซต์ นั้น ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ ที่ สามารถสร้างความสำเร็จให้กับทุกโครงการได้ เนื่องจากเป็นขั้นตอน ของการตัดสินใจดำเนินงาน แต่นั่นก็หมายความว่า ต้องทำการตัดสินใจ ก่อนที่จะดำเนินงาน มิใช่ตัดสินใจในระหว่าง หรือ หลังจากดำเนินงานไปแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นสาเหตุ ทำให้โครงการเกิดความล่าช้าแล้ว ยังมีผลกระทบ ต่องบประมาณที่กำหนดไว้อีกด้วย
ซึ่งปัจจุบันนี้ มีเว็บไซต์เป็นจำนวนมากที่เกิดขึ้นมา แข่งขันกันอยู่ซักพัก และปิดตัวเองไปเป็นจำนวนไม่น้อย ภายในเวลาไม่นานนัก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องเศร้าของคนทำเว็บไซต์เลยทีเดียว เพราะขาดการวางแผนที่แยบยลในการตลาด และ การตัดสินใจในเรื่องกลยุทธ์ต่าง ๆ ล่าช้า
เคยสำรวจเว็บไซต์ของเราดูบ้างไหมว่า ทำไมถึงสู้เว็บอื่น ๆ ที่เขาจ้างทีมงานมืออาชีพ ออกแบบ website และ โปรโมทเว็บไซต์ ให้นั้นไม่ได้เลย?
การออกแบบเว็บไซต์ ด้วยการผสมผสานแนวคิดให้สอดคล้อง กับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่วางไว้ รวมทั้งคัดสรรเลือกใช้สีสัน และ รูปภาพตลอดจนกราฟฟิกที่เหมาะสม เพื่อเป็นการออกแบบเว็บ ที่ สามารถนำเสนอภาพลักษณ์ของตราสินค้าของเรามากที่สุด ช่วยให้สามารถสร้าง Brand Name ให้กับสินค้า และ บริการของเราได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
ด้วยประสบการณ์ในการออกแบบเว็บไซต์ และ Web Design ทำให้การบริการรับทำเว็บไซต์ หรือ ออกแบบเว็บไซต์ ของ Wittybuzz เป็นรูปแบบที่ทันสมัย ซึ่งช่วยให้ธุรกิจของท่าน สามารถแข่งขันในตลาดของเว็บไซต์ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากทีมงานของ Wittybuzz ได้ออกแบบเว็บไซต์ตามหลัก SEO รวมถึงใช้มาตรฐาน W3C เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ของ การออกแบบเว็บไซต์อีกด้วย
Wittybuzz ยังให้บริการ promote website เพื่อเพิ่มยอดขายให้แก่ลูกค้า ด้วยวิธีการทำให้เว็บไซต์ของลูกค้าถูกค้นพบได้ง่าย ในอันดับต้น ๆ ของ Major Search Engine ที่ผู้คนทั่วโลกนิยมใช้ เช่น Google, Yahoo, MSN เป็นต้น โดยทีมงานที่ผ่านประสบการณ์ในด้านนี้โดยเฉพาะ จะคอยแนะนำให้คำปรึกษาแก่ท่านเป็นอย่างดี
สินค้าและบริการที่แตกต่างกัน ย่อมมีกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ดังนั้น รูปแบบเว็บไซต์ก็ย่อมที่จะต้องแตกต่างกันด้วย Wittybuzz จึงรับทำเว็บไซต์ โดยเน้น การออกแบบเว็บไซต์ ให้มีความโดดเด่นสะดุดตา เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของสินค้าแต่ละประเภท และ ออกแบบเว็บ ให้ง่ายต่อการค้นหาของ Search Engines ชื่อดังอย่าง Google, MSN, Yahoo เป็นต้น
ซึ่งใน การออกแบบเว็บ และ จัดทำเว็บไซต์ ที่ ดีนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับที่ดี กับ Search Engines ดัง ๆ เหล่านี้ได้ เพื่อรองรับกับ การแข่งขันการทำการตลาดบนสื่ออินเตอร์เน็ต
ทีมงาน Wittybuzz จึง รับออกแบบเว็บ และ รับทำเว็บไซต์ โดยเน้นที่ประสิทธิภาพของเว็บไซต์มากที่สุด ทั้งในเรื่องของความสวยงามของ การออกแบบเว็บ ความสะดวกและง่ายในการใช้งานเว็บไซต์ ระบบที่มีประสิทธิภาพของเว็บไซต์ และ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้ Wittybuzz ยังมีทีมงานมืออาชีพ ทั้ง กราฟฟิคเว็บดีไซน์ และ โปรแกรมเมอร์ ที่มีประสบการณ์ คอยให้คำแนะนำช่วยเหลือตลอดทุกขั้นตอน พร้อมทั้งให้คำปรึกษาบริการหลังการขาย ใน การทำการตลาดผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตอีกด้วย
ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม
พ.ศ. 2551 เว็บมาสเตอร์ผู้ตายและเกิดใหม่!? (2008 The Death of Thailand Webmaster)
0 comments Posted by wittybuzz at 6:02 PM
ภาพแห่งการแข่งขันที่รุนแรงและต่อเนื่องในปี 2550 ยังคงครุกรุ่นอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวของเว็บไซต์ขนาด ใหญ่ในประเทศหลายแห่ง ที่พยายามนำเสนอความเป็นเว็บไซต์ยุคที่ 2 (Web 2.0) หลังจากการปรับแต่งก็ได้รับทั้งผลตอบรับที่ดีและไม่ดีส่วนใหญ่แล้วสะท้อน กลับมาในทางไม่ดีมากกว่า อันเนื่องมากจากลักษณะการใช้งานของ Internet Users ภายในประเทศนั้นยังใช้วิธีการจดจำ มากกว่าการค้นหา หลายเว็บไซต์ที่ดำเนินการปรับปรุงไปแล้วนั้น
จึงต้องกลับมาพิจารณาเป็นเรื่องเร่งด่วน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ถูกต้อง และตรงตามวัตถุประสงค์มากยิ่งขึ้น
ในระหว่างที่เจ้าของเว็บไซต์ไม่ว่าจะขนาดใหญ่ที่สุด ไปจนถึงขนาดเล็กที่สุดของประเทศกำลังพยายามปรับปรุงโครงสร้าง ข้อมูลเว็บไซต์อยู่นั้น สิ่งหนึ่งที่เจ้าของเว็บไซต์เหล่านั้นอาจจะยังไม่ได้ตระหนักถึงก็คือ กฏ กติกา และเงื่อนไขต่างๆ ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสารนั้น ซึ่งอาจจะนำไปสู่การฟ้องร้อง และดำเนินคดีตามกฏหมายได้
จากการที่เมื่อกลางปีที่แล้วได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ทำให้ Internet Users และเหล่าบรรดาเจ้าของเว็บไซต์ต่างๆ ได้ตื่นตัวกับการปรับปรุงในส่วนต่างๆ เพื่อให้ถูกต้องตามกฏหมาย
และนอกเหนือจากพระราชบัญญัติ การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์แล้ว ยังมี พระราชบัญญัติอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย อาทิเช่น พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ ที่ห้ามทำการโฆษณาบุหรี่บนเว็บไซต์ และยังกฏหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลิขสิทธิ์ เช่น เพลง, ภาพยนต์, กระเป๋า, นาฬิกา ตลอดจนถึงบทความต่างๆ
นี่คือสิ่งที่เจ้าของเว็บไซต์หลายท่านยังไม่ทราบ และยังไม่มีมาตรการป้องกันที่ชัดเจน ทั้ง ยังไม่มีการสรุปแนวทางระหว่างหน่วยงานผู้รับผิดชอบ กับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการให้ความรู้กับเว็บมาสเตอร์โดยทั่วไป เช่น สมาคมผู้ดูแลเว็บไทย, สมาคมผู้ประกอบการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ไทย เป็นต้น
และจากการดำเนินการในอดีตที่ผ่านมาด้วยมาตรการที่ยังไม่ชัดเจน เราจึงจะได้ข่าวการแจ้งจับเจ้าของเว็บไซต์หลายแห่ง จนดังเป็นเรื่องเป็นราวกันไปหลายครั้ง หลายคราว ส่วนหนึ่งเนื่องจากระบบการตรวจสอบของแต่ละหน่วยงานที่แตกต่างกัน ขั้นตอนการติดต่อขอข้อมูล ระยะเวลาในการดำเนินการ กำหนดระยะเวลาการติดต่อขอหลักฐานการประสานขอความร่วมมือไปยังเจ้าของเว็บไซ ต์ต่างๆ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ซึ่งหากเจ้าของเว็บไซต์มิได้รับรายละเอียดการแจ้งนั้นอาจจะทำให้เกิดผลเสีย กับหลายฝ่าย เช่น ผู้ใช้บริการ, เจ้าของเว็บไซต์, หน่วยงานที่รับผิดชอบเจ้าของเรื่องผู้ดำเนินคดี
ฉะนั้น จากเหตุต่างๆ ดังกล่าว แนวทางที่น่าจะสรุปออกมาสำหรับเว็บมาสเตอร์ไทย เพื่อรักษามาตรฐานและกำหนดแนวทางการพัฒนาควรมีการกำหนดแบบแผนสำหรับทุกหน่วย งาน ต่างๆ เช่น
- การขึ้นทะเบียนเว็บไซต์ เพื่อเป็นส่วนของการให้ข้อมูลการติดต่อเจ้าของเว็บไซต์ และผู้รับผิดชอบโดยตรง
เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถติดต่อไปยังเว็บไซต์นั้นๆ ได้โดยตรง และอย่างทันท้วงที เพื่อป้องกันปัญหาในวงกว้าง
- ขั้นตอนการติดต่อเจ้าของเว็บไซต์
- แจ้งเหตุ และรายละเอียดของการกระทำความผิด
- ตักเตือน, ประเมินผล, สรุปผล (ให้/ไม่ให้ความร่วมมือ)
- การติดต่อกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผู้ให้บริการเว็บโฮสติ้ง, เซิร์ฟเวอร์, ให้บริการอินเตอร์เน็ต
- นำสืบต่อเนื่องไปยังผู้กระทำความผิดตัวจริง
เมื่อมีขั้นตอนการติดต่อและดำเนินการที่ชัดเจนแล้วนั้น จะช่วยให้การพัฒนาสามารถเติบโตได้อย่างถูกต้องและป้องกันปัญหาบางส่วนที่อาจ จะเกิดขึ้นได้ในอนาคต ทั้งยังช่วยป้องกันสื่อที่ไม่เหมาะสมในลักษณะของการจัดเรตติ้งให้กับเว็บไซ ต์ต่างๆ ตามหมวดหมู่
สำหรับเจ้าของเว็บไซต์ทั้งที่เปิดให้บริการเรียบร้อยและยังไม่ได้เปิดให้ บริการ ในปี 2551 นี้คงต้องทำใจรับข้อมูลและกฏหมายที่เกี่ยวข้องอย่างหนักหน่วง ฉะนั้น ในการพัฒนาส่วนใดของเว็บไซต์เพิ่มเติม หากคาดว่าจะมีการละเมิด และผิดกฏหมายในจุดใดคงต้องมุ่งความสนใจไปเป็นพิเศษ เว็บไซต์ใหม่ที่กำลังจะเปิดบริการเองก็ยังมิต้องตื่นตกใจจนเกินไป หากมีขั้นตอนการดำเนินการที่ชัดเจน ก็จะมีช่วงระยะเวลาในการปรับปรุงแก้ไขระบบ ให้ถูกต้องตามกฏกติกาที่ถูกที่ควรต่อไป
ที่มา : เอสอีเอ็มดอทโออาร์ดอททีเฮด
เว็บสำเร็จรูป ช่วยให้การสร้างเว็บที่ซับซ้อน สามารถทำเสร็จได้อย่างรวดเร็วโดยที่ผู้สร้างเว็บไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้าน ภาษาเขียนเว็บแต่อย่างใด สามารถปรับเปลี่ยนเนื้อหาด้วยตนเองได้โดยง่าย และมีโปรแกรมพื้นฐานรองรับพร้อม
เว็บสำเร็จรูปที่ดีนั้นควรมีคุณสมบัติดังนี้
1. มีระบบหน้าตาที่ใช้งานได้ง่าย - หลายครั้งที่ระบบสำเร็จรูปเหล่านี้จะมีรูปแบบการใช้งานให้เยอะมาก แต่ขาดการจัดวางที่ดี ทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนในการแก้ไขหน้าเว็บหรือเนื้อหาภายในเว็บ
2. รองรับการแก้ไขได้หลากหลาย - หลายครั้งที่ระบบดังกล่าวจะมีหน้าจอแก้ไขแบบ WYSIWYG (What you see is what you get) ซึ่งทำให้เนื้อหาที่แสดงผลในหน้าเว็บผิดเพี้ยน โดยเฉพาะเมื่อเนื้อหาเหล่านั้นก็อปปี้มาจากโปรแกรมสำเ็ร็จรูปอื่น เช่น MS Word ดังนั้นหน้าจอแก้ไขควรสามารถเลือกใช้แบบ Plain text หรือ HTML ได้
3. มีโปรแกรมรองรับที่หลากหลาย - เพราะการสร้างเว็บหนึ่งสามารถมีเป้าหมายได้หลายรูปแบบ รวมถึงประเภทของผู้เ้ข้าเยี่ยมชมที่มีความต้องการแตกต่างกัน ดังนั้นระบบเว็บสำเร็จรูปที่ดีควรรองรับโปรแกรมพื้นฐานได้หลายตัว เช่น ระบบตะกร้าสินค้า บล็อก เว็บบอร์ด ห้องแชท เป็นต้น
ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม
เราได้พูดถึงการออกแบบเว็บที่ดีไปแล้ว พูดถึงการโปรโมทเว็บพื้นฐานไปแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือ ทำเว็บอย่างไรให้โดนใจตลาด สิ่งที่สำคัญคือ การตีความหมายคำว่า “ตลาด” ของเราให้ชัดเจนก่อน
ตัวอย่างเช่น สำหรับเว็บขายของแล้ว สิ่งที่ผู้ซื้อมองหาในเว็บมีเพียงแค่หน้าจอที่เข้าใจง่าย ตัวอักษรอธิบายที่ใหญ่และรูปสินค้าที่ชัดเจนเท่านั้นคือสิ่งที่สำคัญ ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ไม่ได้ต้องการภาพเคลื่อนไหวหรือเมนูที่ทำจากแฟลช แม้จะมีความสวยงามแต่ก็รบกวนสายตา ทั้งยังทำให้เว็บใช้เวลาโหลดนานขึ้นอีกด้วย
กลุ่้มเป้าหมายแต่ละกลุ่มจะมีความคาดหวังเมื่อเข้ามาที่เว็บแตกต่างกัน ถ้าเว็บคุณเป็นบริษัทรับทำเว็บ หน้าที่เว็บที่เรียบง่ายแบบองค์กรก็เป็นสิ่งที่ดี ถ้าเว็บคุณทำเพื่อกลุ่มคนที่ชอบการใช้แฟลช หน้าเว็บก็ต้องใช้แฟลชเป็นหลัก เป็นต้น
ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม
การออกแบบเว็บ (Web Design) นั้น หลายคนมักคำนึงถึงความสวยงามเป็นหลัก นั่นเป็นสิ่งที่ถูก แต่สิ่งที่หลายคนมองข้ามไปคือ การออกแบบเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เข้าเยี่ยมชม ไม่ใช่แค่ความพอใจของเจ้าของเว็บ เว้นแต่คุณจะทำเว็บไว้ดูเล่นคนเดียว สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการสร้างเว็บมีดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการใช้รูปที่มีขนาดใหญ่เกินไป - คนส่วนใหญ่เวลาเข้าเว็บนั้น พวกเค้าใช้เวลาไม่เกิน 10 วินาทีในการตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือจะไป รูปที่มีขนาดใหญ่ และมีจำนวนหลายรูป จะทำให้การโหลดเว็บนั้นช้าลงเป็นอย่างมาก และอาจกินเวลาเกิน 10 วินาที ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่หนีไป วิธีช่วยง่าย ๆ คือ การใช้โปรแกรมตกแต่งภาพเช่นโฟโต้ช็อป (Adobe Photoshop) เพื่อลดขนาดภาพ โดยยังคงรักษาคุณภาพของภาพไว้ได้ แนวคิดในการเซฟไฟล์ภาพมี 2 อย่างคือ
- ถ้าเป็นภาพการ์ตูน ให้เซฟเป็น gif, png
- ถ้าเป็นภาพเสมือนจริง เช่น ภาพถ่าย ให้เซฟเป็น jpg
2. การใช้ภาพเคลื่อนไหวมากเกินไป - ในการออกแบบเว็บนั้น ควรให้ความสำคัญกับจุดที่ต้องการสื่อเพียงหนึ่งถึงสองจุด การพยายามใส่ภาพเคลื่อนไหวจำนวนมากเพื่อเรียกร้องความสนใจนั้น ทำให้ผู้เยี่ยมชมเกิดความสับสน และรู้สึกถึงความไม่เ็ป็นมืออาชีพของเว็บนั้น ส่วนมากก็จะปิดแล้วไปเว็บอื่นต่อทันที
3. หลีกเลี่ยงการทำหน้าเว็บเดียวยาว ๆ - ถ้าเนื้อหามีความยาว ควรแยกเป็นหลายหน้ามากกว่าที่จะกองไว้หน้าเดียวยาว ๆ เพราะนอกจากจะใช้เวลาโหลดหน้านั้น ๆ นานขึ้นแล้ว คนส่วนมากไม่นิยมที่จะลากลงไปอ่านเนื้อหาด้านล่าง ๆ ทำให้เสียเนื้อที่โดยเปล่าประโยชน์ การแยกเนื้อหาออกเป็นหลายหน้านอกจากทำให้ผู้เข้าชมหาข้อมูลอ่านง่ายขึ้นแล้ว ยังทำให้เว็บดูมีความหลากหลายด้วย
ที่ Wittybuzz เราออกแบบเว็บโดยคำนึงถึงประโยชน์การใช้งานสูงสุดเป็นหลัก การออกแบบที่เรียบง่ายแต่สื่อได้ถึงแก่นขององค์กร สามารถเพิ่มยอดขาย เพิ่มผลกำไรให้แก่องค์กร คือหัวใจในการรับออกแบบเว็บของเราที่ไม่ใช่เพียงแค่สวยงาม แต่ยังมีหัวใจด้านการตลาดใส่ลงไปด้วย
ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม