CASE STUDY#1 ในประเภทของตัวอย่างการออกแบบโลโก้วันนี้เป็นบทความจากเว็บ Spoon Graphics - How to Design a Logotype from Conception to Completion เป็นตัวอย่างของการออกแบบโลโก้ให้กับธุรกิจให้บริการด้านเว็บไซต์และงานออก แบบที่เกี่ยวข้องที่ชื่อ PurpleLemon (สร้างขึ้นมาเพื่อเป็นกรณีศึกษาเฉยๆ) โดยในบทความนี้จะพูดถึงการทำงานตั้งแต่แนวความคิดจนถึงงานที่เสร็จสมบูรณ์ และสามารถใช้งานได้จริง
ในตัวอย่างนี้จะไม่พูดถึงรายละเอียดของที่มา เพราะเรื่องนี้เป็นส่วนที่นักออกแบบกับลูกค้าควรจะมีการตกลงกันเอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่โลโก้สามารถใช้งานได้จริงและทำให้คนจดจำได้ ตัวอย่างที่ยกมาให้ดูนี้จึงเป็นเพียงแบบคร่าวๆของการออกแบบโลโก้เท่านั้น และกฎที่ควรเอาไปใช้ในการออกแบบโลโก้คือ
1. ใช้โปรแกรม Illustrator ในการออกแบบให้เป็นภาพ Vector เสมอ (เป็นภาพที่คอมจะคำณวนเส้นที่ปรากฎเสมอเวลาที่เปิดดู ลักษณะจะไม่เห็นเป็นสี่เหลี่ยมต่อๆกันชัดอย่างภาพประเภท pixel เช่น ภาพไฟล์ JPG) ข้อดีของไฟล์ภาพกราฟฟิกที่เป็น Vector คือสามารถย่อขยายได้โดยที่ภาพไม่เสีย ไม่แตก และพิมพ์ลงวัสดุได้หลากหลายโดยยังคงความชัดเจนอยู่
2. อย่าลืมคิดถึงเรื่องของการพิมพ์โลโก้ลงบนสิ่งพิมพ์ที่ใช้ได้สีเดียวอย่าง Fax หรือการพิมพ์ลงบนพื้นหลังที่เป็นสีดำ และยังคงเอกลักษณ์ที่คนเข้าใจและจดจำได้อยู่
3. คิดถึงขนาดโลโก้ที่สามารถย่อจนมีขนาดเท่าตราไปรษณีย์ หรือลงนามบัตรได้โดยที่ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนอยู่
4. จำกัด ขอบเขตของการใช้สีในโลโก้ที่ต้องการจะออกแบบโดยอิงจาก Pantone หรือ CMYK เพื่อให้สีที่พิมพ์ออกมาได้ถูกต้องตามต้องการและมีมาตรฐาน
5. ลักษณะตัวอักษร สี และรูปแบบ ควรจะสื่อถึงประเภทของธุรกิจและบริการได้ด้วย
จากปากกาจนถึงโลโก้พร้อมใช้งาน มีขั้นตอนอย่างไรบ้าง?
ก่อนที่จะเริ่มใช้คอมพิวเตอร์ใมนการออกแบบ จะเป็นการดีกว่าถ้าใช้การร่างด้วยมือก่อน ส่วนจะวาดลงที่ไหนก็แล้วแต่สะดวกหรือว่าแนวความคิดที่ออกมา มาตอนไหนและอะไรที่จะใช้บันทึกได้และอยู่ใกล้มือที่สุด บางทีการดึงรูปจาเน็ตมาใช้ก็ไม่ได้เป็นการละเมิดความคิดคนอื่นเสมอไป ถ้ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เราจะใช้ในการออกแบบ หรือใช้เป็นแนวทางหรือแนวความคิด เช่น รูปสวยๆที่เจอ รูปที่น่าจะเป็นแนวทางได้ หรือตัวอย่างโลโก้ในสไตล์ที่จะทำ กระทั่งโลโก้ของคู่แข่งของลูกค้าที่ทำงานให้ก็ยังใช้เป็นแนวทางได้ ในที่นี้เลือกรูปเลมอนมาใช้ เป็นทั้งแนวความคิดและลักษณะรูปแบบของเลมอนที่ถูกต้อง
* เมื่อเปิดคอมฯ และเปิดโปรแกรม lllustrator มาแล้ว เลือกพื้นที่ทำงานโหมด CMYK ขึ้นมา วาดรูปที่ต้องการจะใช้เป็นโลโก้ จะเริ่มจากใช้เครื่องมือหัวปากกา ร่างโครงก่อนแล้วมาปรับด้วยรูปเครื่องมือหัวปากกาที่มีเครื่องหมายบวกหรือลบ จัดการปรับ เพิ่ม ลดจุดก็ได้ จะใช้ตัวเรขาคณิตสำเร็จ หรือเอาจากในส่วนของรูปทรงอิสระก็ได้ วาดให้เป็นรูปปิดและใส่สีทั้งรูปแบตัวเส้นโครงให้เรียบร้อย ถ้าไม่เอาเส้นโครงก็กดรูปกรอบสี่เหลี่ยมใต้แถบเครื่องมือให้โชว์เต็มๆอยู่ ด้านบนสี่เหลี่ยมอีกอัน และกดให้มีขีดสีแดงคาดทับก็ได้
* ในที่นี้ผู้เขียนเลือกรูปเลมอน ก็จะเริ่มจากรูปวงกลมสามวง วงเล็กสองวงที่เป็นส่วนปูดๆของผลเลมอน และวงใหญ่อีกวงวางระกว่ากลาง ใช้ Pathfinder รวมทั้งสามวงเข้าด้วยกัน
* จากนั้นใช้เครื่งมือรูปหัวปากกาในการวาดเส้นทับบนโครงที่ใช้วงกลมสามวง ปรับส่วนเว้นส่วนโค้งให้สวยงาม จะขยายให้ใหญ่ขึ้นเพื่อดูราบละเอียดเฉพาะส่วนก็ได้ (แนะนำเพิ่มให้ว่า จะแยก layer ของวงกลมสามวงที่ทำเป็นโครงไว้ กับส่วนที่วางทับก็ได้) เพิ่มรายละเอียดของรูปเข้าไปตามต้องการ ส่วนนี้อาจจะไม่ต้องใส่ใจมากนักว่าถ้าพิมพ์ออกมาจะไม่เห็น เพราะโครงที่ทำไว้มันค่อนช้างชัดเจนอยู่แล้ว และส่วนที่สำคัญอีกส่วนคือตัวอักษร (ที่ดูเหมือนว่าจะสำคัญที่สุดด้วยในการออกแบบโลโก้ประเภทนี้) ขั้นต่อมาคือการใส่สีให้รูป ในที่นี้จะใช้สีม่วงตามชื่อบริษัทที่ตั้งไว้เป้นโจทย์ในการออกแบบ และปรับรูปให้เอียง (ตามแบบที่ร่างมือไว้แล้ว ถ้าคิดว่าการปรับรูปให้เอียง หรือบิดรูปจะทำให้โลโก้ดูดีขึ้น หรือจดจำได้ง่านขึ้น)
* หลังจากรูปประกอบเรียบร้อยไปแล้ว คาราวนี้มาทำส่วนต่อไปบ้าง พิมพ์ตัวอักษรที่ต้องการและลองทำหลายๆรูปแบบ เช่น ตัวหนา ตัวเอียง หรือ หนาเอียง รวมทั้งชนิดของตัวอักษร แล้วแต่ความต้องการ (ตามที่วางแนวความคิดไว้แล้ว)
* แปลงตัวอักษรเป็นเส้น จากนั้นปรับความถี่ห่างตามต้องการ จะตกแต่งเพิ่มเติม ปรับสี ปรับขนาด ความหนาบางของเส้นก็แล้วแต่ว่าแนวคิดแบบไหนหรือ สไตล์ที่ต้องการ
* ใช้เส้นไกด์กำหนดตำแหน่งความสูงของรูปกราฟฟิกประกอบและตัวอักษรที่ใช้ ปรับให้ความสูงของทั้งรูปและตัวอักษรอยู่ระนาบเดียวกัน
* ขั้นตอนสุดท้ายเป็นการใส่สีให้กับตัวอักษร และการตกแต่งเพิ่มเติม ที่สามารถใช้ได้กับเว็บทั้งในเวอร์ชั่นที่ไม่สนับสนุนลูกเล่นและที่รองรับ ลูกเล่นได้ นอกจากนี้ยังรวมถึงการตั้งสีของโลโก้ในแบบสีเดียวด้วย
ลำดับท้ายสุดเป็นกาารเตรียมโลโก้เพื่อให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน โดยโลโก้จะถูกจัดเป็นกลุ่มของการนำไปใช้ในหลายๆรูปแบบ เช่น เครื่องเขียน, ใบปลิว, โฆษณา และเว็บไซต์
และแล้วเอาโลโก้ที่พร้อมใช้ไปลองใช้งานจริงดูเลยดี กว่า ให้เวลาสักระยะ เรื่องการหาจำนวนคนที่จดจำได้อาจจะวัดได้ลำบากเพราะใช้เวลาไม่น้อยในการจดจำ เปิดรับ Feedback ไปด้วยเลยว่าโอเคมั้ย น่าจะเป็นหนทางที่ดีกว่าสำหรับนักออกแบบฝึกหัดล่ะนะ
สำหรับวันนี้ก็จะพูดถึง การทำเงินออนไลน์ ด้วยการอัปโหลดรูปภาพครับ สำหรับเว็ปไซต์ที่จะพูดถึงก็คือ Shareapic ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการอัพโหลดรูปภาพ และแบ่งค่าคอมมิสชั่นเป็นลักษณะของ Page view เช่น 1000 view/0.1$ เป็นต้น
มันอาจจะดูน้อยน่ะครับแต่ทำไปทำมาก็สามารถทำเงินให้เราได้เหมือนกัน คือถ้าเราสามารถดึงให้คนเข้ามาดูเยอะๆก็จะสามารถทำเงินได้มากทีเดียว สำหรับเทคนิคก็ใช้พวก social media ที่มีอยู่มากมายในการโปรโมทนั่นเอง หรือที่ดังๆก็ twitter ไงครับแรกๆก็ลองดูเล่นๆ หลังๆชักเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และที่สำคัญมันจะมีตรงส่วนของ referrals ให้สามารถเพิ่มรายได้อีก 10% ด้วยนะครับ การใช้งานก็ไม่ยากครับ สร้าง Gallery แล้วก็อัปโหลดรูปจากนั้นก็เอา link ไปโปรโมท ง่ายนิดเดียว
ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต
สวัสดีครับเพื่อนๆ กลับมาเจอกันอีกครั้งนะครับ วันนี้ผมก็เรื่องราวดีๆ มาฝากอีกเช่นเคย ( เหมาะสำหรับมือใหม่ๆ และคนทั่วไปที่แวะเวียนมาอ่านที่ บล็อกนี้นะครับ) จริงๆ มือเก่าอ่านดูอาจจะถึงบ้างอ้อได้ว่า "เราลืมอะไรไปไหม" จริงๆแล้วมันเหมือนกับเป็นการทำความเข้าใจว่า Blog ที่เราสร้างเราเขียนกันทุกวันนี้ มันหลุดคอนเซ็ปท์หรือ ซึ่งจริงๆแล้ว เราเอามันไปใช้ถูกต้องถูกวิธีแค่ไหน ที่สำคัญ มันทำเงินให้เราได้หรือยัง ผมคงไม่มานั่งเขียนถึงวิธีการสร้างบล็อกหรอกครับ แต่จะอธิบายว่า แนวทางไหนที่เราเขียนบล็อก สร้างบล็อกแล้วสามารถที่จะทำให้มันเกิดรายได้ๆอย่างไร เหอๆชักแม่น้ำร้อยสิบห้าสายแล้ว ยังไม่เข้าสู่เนื้อหาเลย อิอิ ไปอ่านกันเลยดีกว่าครับ
Note: Bloggers คนที่เขียนบล็อกนั่นแหละครับ หรือเจ้าของบล็อกนั่นแหละครับ ส่วน Blogging ก็เขียนบล็อกไงครับ อิอิ Blogs For? เพื่อเงิน หรือ บล็อกเพื่ออะไร? จำไว้เสมอนะครับว่า การสร้างบล็อก เขียนบล็อก ไม่ใช่ช่องทางที่จะทำให้คุณเป็น เศรษฐี ในช่วงเวลาข้ามคืน หรือในเวลาไม่กี่เดือน มีบล็อกเกอร์ Bloggers ทั่วโลกที่ประสบความสำเร็จกับบล็อก แต่ทุกๆคนก็ผ่านความยากลำบากมาอย่างมาก แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปที่คุณจะประสบความสำเร็จเช่นพวกเขาเหล่านั้นนะครับ มันอยู่ที่การวางแผนที่ดีครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าจะบล็อกเพื่อเงิน เราต้องทำตามนี้ครับ Affiliate Commission Blogging บล็อกเชียร์สินค้าที่เราเป็นตัวแทนโฆษณา เป็นการ Blogging ตัวสินค้าที่เราสมัครเป็นแทนโฆษณาขาย เช่น ที่ Amazon.com (Traffics จาก Content Blogs, website สบายๆทำได้ครับ เพราะไม่ใช่ PPC ) เป็นอีกหนึ่งการทำ Blogs ที่ Bloggers ไทยในปัจจุบัน ซึ่งผมชอบ Blogging แนวนี้มากที่สุด ซึ่งมีทั้งทำมือจริง และมือเทียม( พวกเครื่องไม้เครื่องมือทุ่นแรงครับ) ซึ่งสำหรับผมเองนั้น ทำมือจริงครับ ถูก ประหยัด ชัวร์ Content อยู่ครบ.... แนะนำแค่นี้มันคงไม่เห็นภาพ
งั้นมาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับ www.kintiew.com เป็นบล็อกที่ผมทำไว้ได้หลายเดือนแล้วครับ ชื่อมันอาจจะเพี๊ยนซะหน่อย (ตอนแรกผมจะจดมาทำเว็บไซต์ กินเที่ยว kinteaw.com) แต่ผมจดผิดก็เลยเอามาลง wordpress แล้วทำสินค้า Amazon.comซะเลย ผลที่ได้รับก็คือ มียอดขายอยู่เรื่อยๆ อิอิ สินค้าที่เน้นๆก็ พวกเสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ ของหนุ่มๆ (ยกเว้นของเล่นผู้ชาย หุหุ) ซึ่งแนวทางของผมก็ทำมือล้วนๆครับ เลือกสินค้า แล้วก็เขียนรีวิว (เอาข้อมูลจาก Amazon นั่นแหละครับ อิอิ) Sponsorship Earning บล็อกเนื้อหาดีก็มีผู้สนับสนุน สปอนเซอร์ๆ การเขียนและสร้างบล็อกลักษณะนี้ Content ต้องเจ๋งจริง มีคนติดตามอ่านเยอะๆ เพราะไม่ใช่แค่ Traffics อย่างเดียวที่จะเป็นตัวตัดสินใจให้ เหล่า สปอนเซอร์ ทั้งหลาย ยอมหว่านเม็ดเงินเข้ามาเพื่อลงโฆษณา
แต่ถ้าถามว่า มันยังใหม่ในไทยไหม...ตอบว่าใช่ แต่ไม่ตลอดไป มันกำลังจะเปลี่ยนไปครับ เพราะ ระบบการทำงานและวิถีทาง Social Network ทำให้มันเปลี่ยนครับ อีกหน่อย บล็อกเล็กๆเนื้อหาดีๆจะมีคนเข้าวันละหลายพันหลายหมื่นคนครับ แล้วโฆษณามันก็จะไหลมาเทมาครับ dekads ดู แล้อาจเป็นเรื่องยาก แต่จริงๆแล้วมันสามารถทำได้ครับ มีบล็อกเนื้อหาดีๆมากมายที่เป็น Content ภาษาไทย สามารถทำเงินได้จากผู้สนับสนุนครับ เช่น บล็อก blognone.com เป็นต้น เพราะฉนั้นถ้าใครจะพูดว่า บล็อกไทยๆ ใครจะมาลงโฆษณา หุหุ
ผมว่าเราลองมาเปลี่ยนความคิดกันดูไหมครับ เพราะตอนนี้เรามีตัวกลางในการจัดหาโฆษณา ผู้สนับสนุนมาให้เราแทนเสียด้วย ซึ่งก็รู้จักในนามของ DekAds.com ผมคิดว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับในประเทศไทย แต่ถ้าใครเจ๋งๆก็ลองลุยต่างประเทศดูครับ มีผู้ให้บริการเยอะแยะมากมายจริง ๆ ครับ
สองแนวทางนี้เป็นเพียงแนวทางหลักๆที่ยังเจาะลึกไปได้อีกมากมายหลายๆอย่าง แต่ถ้าที่สุดบทสรุปของมันก็คือเรื่องการโฆษณาครับ ถ้าจะทำให้มันง่ายๆแบบบ้านๆก็สร้างบล็อกเนื้อหาที่เราเองถนัดๆเจ๋งๆซํก เรื่อง เรื่องที่เราถนัดเป้นโปรด้านนี้หรือไม่ต้องเก่งกาจอะไรมากก็ได้ เพียงแค่ขยันหาบทความเนื้อหาต่างๆมานำเสนอ หรือนำมาเรียบเรียงใหม่ก็ได้ครับ จากนั้นก็ติดโฆษณาแบบ Contextual Ads เช่น Google AdSense รวยด้วยคลิก หรือคลิกแล้วรวย (แต่อย่าไปคลิกเองละ เด๋วจะซวย หุหุ) โดนยกเลิกบัญชีง่ายๆเลยนะครับ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ อิอิ สำหรับวันนี้ คงขอฝากเอาไว้แค่นี้ก่อนนะครับ หวังว่าพอจะจุดประกายไอเดียต่างๆให้กับเพื่อนๆได้บ้างนะครับ
ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม
เอามาให้อ่านกัน ความจริงหลายเดือนแล้วแหละ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าไม่ว่าจะ คุณป้ามหัศจรรย์ "ซูซาน บอยล์" ในคลิปวีดีโอถูกคลิกชมไปแล้วกว่า 100 ล้านครั้ง หนุ่มนิรนามหน้าตาบ้านๆวาดลีลาเต้นรำสุดมันส์นาน 6 นาทีในคลิป Evolution of Dance ถูกเปิดชมไปแล้วมากกว่า 119 ล้านครั้ง ภาพวิดีโอเด็กน้อยนั่งหัวเราะบนเก้าอี้ยังถูกเปิดชมไปกว่า 80 ล้านครั้ง เฉพาะคลิปแฟนนักร้องสาวบริทนีย์ใจกล้าปีนป่ายขึ้นไปบนเวทีแสดงคอนเสิร์ต ยังถูกคลิกชมไปมากกว่า 5 แสนครั้งในวันเดียว
สถิติเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นกับบทความ ภาพ หรือเสียงที่มีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต จึงไม่น่าแปลกใจที่วีดีโอจะกลายเป็นเพชรเม็ดโตในตระกูล Social Media ที่นักโฆษณายุคใหม่จ้องมองตาเป็นมัน เพราะแม้จะเป็นวีดีโอโฆษณาสินค้า แต่ถ้าเป็นวีดีโอที่โดนใจแล้ว คนออนไลน์ก็จะคลิกเข้ามาชมเองโดยสมัครใจและตั้งใจ เรียกว่าต้องเพลินคนดูก่อนจึงจะเพลินนักการตลาด
บทความของคุณณัฐวัฒน์จาก www.duocore.tv ซึ่งเป็นผู้ให้บริการวิดีโอออนไลน์สัญชาติไทยชื่อดัง จะอธิบายเหตุผลให้ฟังว่าทำไมจะต้องเป็นวิดีโอ และวงการโฆษณาด้วยวีดีโอออนไลน์บ้านเราจะประสบความสำเร็จแบบต่างชาติได้หรือ ไม่ รวมถึงกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ และเคล็ดลับในการสร้างความเพลินให้กับโฆษณาวิดีโอออนไลน์ของคุณเอง เชื่อว่าจะไม่ได้เป็นประโยชน์กับเจ้าของแบรนด์อย่างเดียว แต่จะรวมถึงเจ้าของเว็บทุกคนที่ต้องการดึงดูดความสนคนบนโลกไอทีด้วยวิดีโอออ นไลน์
Social Media กับการตลาดออนไลน์
บทความโดย ณัฐวัฒน์ ปาลกะวงษ์ ณ อยุธยา ? http://www.duocore.tv
หลังจากที่ประธานาธิบดี โอบาม่า ของสหรัฐได้รับตำแหน่ง เดี๋ยวนี้หลายๆท่านคงเริ่มได้พบเห็นหรือได้ยินคำว่า Social Media กันมากขึ้น ทั้งในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ หรือแม้กระทั่งสื่อ online ต่างๆ เพราะปรากฎการณ์ โอบาม่า นับเป็นตัวอย่างการใช้ Social Media ที่ได้ผลมากที่สุด มากเสียจนได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีเลยทีเดียว
สำหรับใครที่ไม่คุ้นเคยกับคำนี้ หรือเคยได้ยินแต่ Social Network ก็ไม่ต้องแปลกใจไป ยังไม่ตกเทรนครับ ถึงแม้ว่าคุณอาจจะไม่รู้จักคำว่า Social Media ก็จริง แต่ไม่แน่บางทีคุณก็อาจเคยทำหน้าที่เป็น Social Media อยู่โดยไม่รู้ตัวก็ได้
ก่อนอื่นคุณต้องถามว่าเคยมี พฤติกรรมแบบนี้ไหม เช่น เคยส่งคลิปวิดีโอเจ๋งๆจาก Youtube ให้เพื่อนต่อทาง MSN, เคยเขียนเล่าประสบการณ์ในการใช้บริการหรือสินค้าในเว็บบอร์ดหรือ blog ของตัวเองบ้าง, เคยจะไปเที่ยวต่างประเทศแต่หาข้อมูลในเว็บบอร์ดสักที่ก่อน เผื่อจะมีคนเคยไปมาแล้วรีวิวให้อ่าน, ไปถ่ายรูปมาสวยๆแล้ว post เข้าเว็บเก็บรูป แชร์ให้เพื่อนฝูงในก๋วนดู หรือเป็นขาประจำค้นหาข้อมูลใน Wikipedia
ถ้าคุณเคยทำสิ่งเหล่านี้ละก็ ใช่แล้วครับ คุณเคยใช้และทำตัวเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของ Social Media ไปโดยไม่รู้ตัวแล้ว
ทุกวันนี้เว็บที่ให้บริการต่างๆ รวมไปถึงบรรดา Social Network อย่าง Facebook, Hi5, Flickr, Wordpress, MySpace, Blogger, Youtube, twitter ฯลฯ ต่างก็เติบโตอย่างรวดเร็วและถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำการตลาดรูปแบบใหม่ หรือที่เราเรียกว่า Social Media หรือแปลไทยๆให้เข้าใจกว่าเดิมว่าเป็น "สื่อสังคมที่ผู้ใช้เป็นผู้สร้างเนื้อหาและแบ่งปันให้กับผู้อื่นในเครือข่าย ของตน โดยที่ผู้ใช้อาจจะเป็นได้ทั้งผู้สร้าง หรือเพียงแค่ รับ-ส่ง เนื้อหานั้นๆ" โดยที่เนื้อหาจะเป็นอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น บทความ ข้อความ เพลง คลิปวิดีโอ bookmark ข่าว กระทู้ ความคิดเห็น รูปภาพ จะเป็นอะไรก็ได้ไม่ผิดกติกาทั้งนั้น
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการตลาด?
ในภาวะเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ การที่บริษัทต่างๆจะทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์อะไรสักอย่าง คงจะต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะลงงบประมาณโฆษณาสักครั้ง ว่าทำอะไรถึงจะได้ผลคุ้มกับเม็ดเงินที่ต้องเสียลงไป ด้วยเหตุผลนี้แหละครับ คำว่าทำการตลาดแบบ Social Media เลยผุดขึ้นมาในหัว เพราะเป็นการทำการตลาด โฆษณาประชาสัมพันธ์ที่ตรงกลุ่มลูกค้าที่สุดของที่สุดแล้ว ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นละ?
นักการตลาดทุกท่านคงทราบดีว่า การตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดและต้นทุนน้อยที่สุดคือ "การตลาดแบบปากต่อปาก" ซึ่ง Social Media ในความหมายแบบบ้านๆก็คือ การทำการตลาดแบบปากต่อปากที่มีเครื่องมือมาช่วยทำให้มันมีพลังมากขึ้น ส่งต่อผ่านไปได้ง่ายขึ้น เพียงแค่คนๆเดียวก็สามารถบอกเพื่อนในกลุ่มได้เป็นร้อยๆ พันๆ แล้วยังง่ายขนาดที่เพื่อนๆสามารถส่งต่อไปได้โดยแค่ ลากเมาส์ กดๆ วางๆ ก็สามารถบอกต่อเพื่อนของเขาไปได้อีกเป็นพันๆคนแล้ว โดยผ่านเครือข่าย Social Network หรือเครื่องมือ Online ต่างๆนั่นแหละ
ซึ่งการที่ลูกค้าได้มีการพบเห็นและส่งต่อเนื้อหาหรือโฆษณานั้นๆ ทำให้เขาและเพื่อนเกิดการจดจำแบรนด์หรือสินค้าไปโดยไม่รู้ตัว เพราะมันถูกเห็นบ่อยๆ ส่งบ่อยๆ เพื่อนพูดถึงบ่อยๆ หรือมีคนประทับใจเยอะ ก็ทำให้เกิดการอยากทดลองใช้ อยากซื้อ อยากทำตามกระแสนั้นๆ
ยกตัวอย่างในบ้านเราที่คุ้นเคยกันดี ก็ประเภทร้านอาหารหลายแห่ง ที่อยู่ดีๆวันดีคืนดีก็มีผู้คนมากมายหลั่งไหลกันไปใช้บริการโดยเจ้าของร้าน ไม่ทันตั้งตัวว่ามาจากไหนกัน ก็ไม่ได้ไปโฆษณาที่ไหน ร้านก็อยู่แสนจะลึกลับซับซ้อน แท้จริงแล้วมีผู้ที่ไปใช้บริการแล้วนำไปบอกเล่าต่อผ่านเว็บบอร์ดชั้นนำหรือ blog ของตัวเอง โดยลงทั้งภาพ ทั้งวิดีโอ ประกอบ หรือแม้กระทั่งที่เที่ยวที่มาแรงในระยะหลังๆอย่าง อ. ปาย และ ปางอุ๊ง ที่ได้รับความนิยมอย่างมากก็เกิดขึ้นจาก Social Media แบบไทยๆนี่เอง
ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยาก
การทำการตลาดผ่าน Social Media จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก เพราะว่าเรากำลังเล่นกับอารมณ์และความรู้สึกของคน เพื่อให้เขาชอบ ประทับใจ ตื่นเต้น ตกใจ หรือรู้สึกดีต่อสินค้าหรือแบรนด์ของเรา ไม่ว่าเราจะทำโฆษณาดีแค่ไหน ประทับใจแค่ไหน แต่ถ้าสินค้าของเราไม่ดีจริงละก็ โอกาสที่ลูกค้าจะบอกต่อข้อเสียของเราออกไปก็มีสูง
เพราะฉะนั้นหลายๆครั้งที่แบรนด์ดังๆมากมายล้มเหลวกับช่องทางนี้จนถูกต่อว่า เสียเละเทะไปเลยก็มีไม่น้อย แต่ก็มีอีกหลายเจ้าที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม หลายๆครั้งเราก็เลยเห็นการทำตลาดผ่าน Social Media โดยใช้เพียงแค่ตอกย้ำแบรนด์อย่างกว้างๆ หรือเลือกหมวดสินค้ากว้างๆมาทำการตลาด มากกว่าที่จะย้ำไปในตัวผลิตภัณฑ์แบบเฉพาะเจาะจงรุ่น ยกเว้นว่าเจ้าของสินค้ามั่นใจในสินค้านั้นมากๆ
จำไว้เสมอว่าคุณกำลังเล่นกับอารมณ์และความรู้สึกของคน แบรนด์หรือสินค้าของคุณจะถูกนำลงมาใกล้ชิดกับลูกค้าอยากมาก เพื่อสร้างความสัมพันธ์ต่อกัน พึงระวัง คุณอาจจะหลอกคนได้ร้อยคนพันคนว่าสินค้าหรือบริการของคุณดีจริง แต่คุณไม่สามารถหลอกคนนับหมื่นหรือแสนคนได้ทั้งหมดหรอก เพราะฉะนั้นจงเลือกใช้ของที่ดีที่สุดในการทำการตลาดผ่าน Social Media
ทำไมต้องเป็นวิดีโอ
ไม่ว่าเนื้อหาของคุณจะเป็นอะไร จะเป็นเสียง รูป หรือวิดีโอ ถ้ามันประสบความสำเร็จตามเป้าที่วางไว้ได้ก็นับว่าดีทั้งนั้น แต่ คุณเคยได้ยินประโยคแนวๆที่ว่า "1 ภาพให้ความหมายมากกว่า 1 พันคำ" ไหมครับ? ก็เช่นกัน 1 ภาพเคลื่อนไหว ก็ให้ความหมายได้มากกว่า 1 พันภาพนิ่งเหมือนกัน ยิ่งยุคนี้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงมีสัดส่วนผู้ใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นจนทำ ให้การดูวิดีโอผ่านเว็บเป็นเรื่องที่ง่ายได้กว่าแต่ก่อนแล้ว ทำไมเรามัวแต่จะใช้สารแบบเดิมๆกันละ ถึงแม้ว่างานบางอย่างวิดีโออาจจะไม่เหมาะสมหรือเกินความจำเป็นไปก็ตาม แต่สำหรับผู้ที่ได้รับสารนั้นก็ล้วนชอบดูภาพเคลื่อนไหวกันทั้งนั้น
ยิ่ง Viral Clip หรือคลิปวิดีโอแบบไวรัล ที่มีการส่งต่อแพร่กระจายตัวอย่างรวดเร็ว ก็นับว่าเป็นสารที่เหมาะสมทีเดียว ใครที่เล่น Youtube บ่อยๆ ยังจำ 2 หนุ่มจีนที่ออกมาร้องเพลงลิปซิ้งของ Backstreet Boys ได้ไหมครับ ดังขนาดเป็น PR ให้ Motorola ในจีน และมีอัลบั้มเพลงเป็นของตัวเองไปแล้ว
ถาม ว่าทำไมงานวิดีโอ Viral Clip ถึงเกิดการส่งต่อแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วขนาดนั้น ขอยกตัวอย่าง Jesus Shot ในเกมส์ Tiger Woods PGA Tour 08 ครับ
อย่างเกมส์ Tiger Woods PGA Tour 08 ที่มี ไทเกอร์ วู้ด เป็นพรีเซ็นเตอร์ ก็ได้มีการทำ Viral Clip ขึ้น โดยแผร่ผ่าน Video Sharing อย่าง Youtube โดยมันเริ่มจาก มีคนที่ซื้อเกมส์นี้มาเล่นได้ทำการถ่ายคลิปตอนที่ไทเกอร์(ในเกมส์) ยืนอยู่บนผิวน้ำได้ โดยคาดว่าจะเป็นข้อผิดพลาดของตัวเกมส์ แล้วทำการชิปลูกกอล์ฟลงหลุม พวกเขาเรียกมันว่า Jesus Shot (ชอตพระเจ้า) สร้างความสนุกสนานให้กับผู้เล่นเกมส์
แต่ EA Sports เจ้าของเกมส์นี้กลับทำในสิ่งที่เกินคาดยิ่งกว่า ด้วยการออกวิดีโอล้อเลียนเกมส์นี้ โดยให้ ไทเกอร์ วู้ด ตัวจริงๆ มาตี Jesus Shot ให้ดู แล้วบอกว่ามันไม่ใช่ข้อผิดพลาดของเกมส์หรอก ไทเกอร์เขาเก่งอย่างนั้นจริงๆ ผลคือวิดีโอนั้นมีคนดูไปกว่า 3 ล้านครั้งแล้ว (แน่นอนว่าแบรนด์อย่าง EA และ ลูกกอล์ฟ Nike ก็ถูกเห็นไป 3 ล้านครั้งเช่นกัน)
นี่เป็นการสร้างความประทับใจให้กับคนที่ซื้อเกมส์นี้ไปอย่างมาก และแน่นอนต้องมีการซื้อเกมส์เพื่อไปลองตี Jesus Shot อย่างเดียว ส่วนเจ้าของคลิปต้นฉบับก็ยังได้เงินก้อนโตเพื่อซื้อลิขสิทธิ์คลิปของเขาไปทำ การตลาดอีกด้วย ต่อเนื่องกัน EA ก็ยังทำคลิปล้อเลียนเพลง Rap แต่งเองอย่าง The Rubik's Cube Rap ใน Youtube ด้วยการบอกว่าให้ไทเกอร์เล่นลูกบิดมันยากสู้เอามาพัตเจ้าลูกบิดลงหลุมยัง ง่ายซะกว่าเลย คลิปนี้ก็มีคนดูไปล้านกว่าครั้งเหมือนกัน
อีกตัวอย่างที่สำคัญคือ Nike เมื่อพูดถึงสินค้าอย่าง Nike เราก็นึกถึงเครื่องกีฬา เสื้อผ้า รองเท้ากีฬา ทาง Nike ก็ได้มีการทำ Viral Clip โฆษณาของรองเท้าออกมาหลายตัว เมื่อหลายปีก่อนเป็น โรนัลดินโญ่ เตะบอลใส่คาน เสาประตู ไปๆมาๆ ด้วยรองเท้าเทพรุ่นใหม่ ที่นับถึงตอนนี้มีคนดูกว่า 24 ล้านครั้งไปแล้ว
ยังมีคลิปที่ โคบี้ ไบรอัน ดาราบาสเกตบอล NBA ชื่อดังใส่รองเท้ารุ่นใหม่ที่ทำให้เขากระโดดสูงขึ้น โดยคลิปโชว์ว่าเขากระโดดข้ามผ่านรถยนต์ที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูง ซึ่งสร้างการถกเถียงอย่างมากมายว่าคลิปนั้นเป็นของจริงหรือปลอม มีการนำไปแพร่ผ่าน blog นับร้อยๆแห่ง มีการทำคลิปล้อเลียนเป็นร้อยๆคลิป แต่ยังไงก็ดีตัวเลขรวมๆแล้วคือมีคนดูกว่า 16 ล้านครั้ง ทั้งคลิปต้นฉบับ และคลิปที่มีคนเอาไปดัดแปลง ทำล้อเลียน และแพร่กระจายกันต่อเอง ถึงแม้ไม่เปิดเผยว่ารองเท้ารุ่นนั้นขายไปได้กี่คู่ แต่ผมว่าประสบความสำเร็จทีเดียว
หรือแม้กระทั่งล่าสุด ที่ Samsung จับเอาแกะนับร้อยๆตัวมาติด LED แล้วต้อนฝูงแกะบนเขาตอนกลางคืนให้ดูเหมือนว่ากำลังเล่นเกมส์ pong ในยุคเก่า หรือนำมาเรียงกันเป็นรูปโมนาลิซ่า แม้กระทั่งทำเป็นรูปพลุสวยๆ แล้วโชว์ว่าใช้เทคโนโลยี LED รุ่นใหม่ของ Samsung แล้วไอ้ LED แบบนี้ก็มีอยู่ใน LED TV รุ่นใหม่ของเรานะ คลิปนี้ก็มีคนดูไปกว่า 6 ล้านครั้งในไม่กี่สัปดาห์แล้ว สร้างสรรค์มากจริงๆ
บ้านเรานะไม่ใช่เมืองนอก จะสำเร็จเหรอ
สำหรับบ้านเราการทำการตลาดในรูปแบบวิดีโออาจจะเพิ่งเริ่มไม่เท่าไร แต่การที่จะทำให้คนเห็นคลิปนั้นเป็นแสนๆล้านๆครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากจนเกิน ไปนัก ลองดูอย่างคลิป "Phoenix สื่อรัก มช." ที่โชว์ลีลาของน้องนักศึกษาที่ทำการจัดส่งดอกไม้ในวันวาเลนไทน์ที่ผ่านมานี้ โดยมีการเต้น ร้องเพลง ดูแล้วสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง เฉพาะที่ Youtube คลิปนี้มีคนดูผ่าน 5 แสนครั้งไปแล้วในเดือนเดียว
ถ้า ผมเป็นเจ้าของสินค้า เช่น ร้านดอกไม้ ของขวัญ ผมอาจจะติดต่อน้องๆกลุ่มนี้ให้ไปบริการลักษณะนี้กับลูกค้าเจ้าสำคัญๆ โดยอาจจะทำการบ้านหน่อยว่าลูกค้าคนนั้นชอบเพลงไหน ศิลปินใด เพื่อให้เกิดความประทับใจมากยิ่งขึ้น แล้วถ่ายคลิปมาเผยแพร่ต่อไปเรื่อยๆ รับรองว่าใครก็อยากเข้ามาซื้อสินค้ากับคุณ ถึงแม้อาจจะไม่ใช้บริการน้องๆกลุ่มนี้ไปส่ง แต่เป็นเพราะลูกค้ารู้ว่าใช้บริการของคุณแล้วมันแตกต่าง มันเหนือกว่า มันประทับใจกว่ามาก
สรุป
การทำการตลาดผ่าน Social Media นอกจากจะต้องกำหนดว่าจะทำเพื่อชูอะไร สินค้า? บริการ? แบรนด์? ให้ชัดเจนแล้ว มันก็ยังไม่ใช่แค่เพียงการทำคลิป ทำบทความ ทำเนื้อหาอะไรสักอย่างแล้วโยนขึ้นอินเตอร์เน็ต โดยหวังว่ามันจะมีคนเข้ามาดู ชอบ และส่งต่อๆกันไป
แม้สิ่งที่ยากมากแล้วก็คือการหาไอเดียที่ใช่ เนื้อหาที่น่าสนใจ เนื้อหาที่โดน แล้วดูไม่ได้เป็นการยัดเยียดสินค้าจนเกินไป ยังจะต้องคิดเผื่อว่าเขาดูแล้วจะส่งต่อไหม ไม่ใช่ดูจบก็จบไป ประทับใจมากๆแต่ไม่ส่งต่อ ไม่บอกต่อ แบบนี้ก็มีอยู่เยอะ แต่งานที่ยากกว่าจึงเป็นการที่ทำให้มันเกิด ทำให้มันติด ทำให้มันเป็นกระแส ซึ่งเราอาจจะต้องวางแผนเพิ่มเติมด้วยการส่งเนื้อหาที่ทำนี้ไปให้ตรงจุดมากขึ้น ถึงกลุ่มมากขึ้น
บาง ครั้งอาจต้องปั่นกระแสในตอนแรกขึ้นมาให้ติดให้ได้ แล้วใช้การวางแผนที่ดีนำพาให้กระแสนั้นให้ติดไปเรื่อยๆให้นานที่สุดเท่าที่ จะทำได้
ที่สำคัญ การทำการตลาดผ่าน Social Media ไม่ใช่แค่การเลือกใช้สื่อใดสื่อหนึ่งหรือทางในทางหนึ่ง แต่เป็นการใช้สื่อทุกสื่อ เครื่องมือทุกเครื่องมือที่มีประกอบกัน ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ และควรทำการวัดผลว่าลูกค้าที่เข้ามานั้นผ่านมาจากทาง Social Media หรือไม่ เพื่อการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อๆไป
ท้ายที่สุด อย่าไปกังวลกับผลของมันจนมากเกินไป ทำให้มันสนุก ทำให้คุณเองก็ชอบ แล้วมีความสุขกับการทำการตลาดแบบนี้ดีกว่า.
ที่มา : manager.co.th
สองสามปีมานี้ผมได้ยินคำว่า ? Conversational marketing ? บ่อยขึ้นเรื่อยๆ เจ้า Conversational marketing นี่ถ้าแปลตรงตัวก็คือ การตลาดที่เกิดมาจากการสนทนากันแต่ที่คนพูดถึงคำๆ นี้ เขาว่ากันว่ามันเป็นอะไรที่มากกว่าการคุย นั่นคือ การพยายามสื่อสารทำความเข้าใจลูกค้าแบบลึกขึ้น ไม่ใช่มองลูกค้าแบบ demographic อะไร เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย อายุเท่าไหร่ การศึกษาอะไร ทำมาหากินอะไร เผลอๆ psychographic คือ ชอบอะไร คิดอะไร มันยังไม่พอด้วยซ้ำ
ปัดโธ่ นักการตลาดไม่เคยพอสักทีเนอะ เราชอบหาอะไรใหม่ๆ เรื่อยแหละ
ถ้าใครที่ชอบอ่าน text ของฝรั่งบ่อยๆ คุณคงชินกับวิธีการหากินของเค้านะครับ คือทุกคนจะพยายามสร้างคำหรือศัพท์แสงอะไรของตัวเองขึ้นมา ทั้งที่จริงๆ แล้วมันก็มีหลักการในความคิดใกล้เคียงกันนั่นล่ะ แต่อาจจะมีรายละเอียดบางอย่างที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น Ogilvy จะมี การสร้างแบรนด์ 360, TBWA จะมี Disruption ที่เขียนอย่างนี้ไม่ใช่ว่าต่อต้านนะครับ ผมว่าการคิดออกมาเยอะๆ แบบนี้มันก็ดี เพราะเราก็จะได้เข้าใจการตลาดในหลายๆ มุม
สำหรับเจ้า Conversational marketing นี่ ส่วนตัวผมมองว่ามันก็คล้ายๆ กับ Buzz Marketing, Word of Mouth หรือ Viral marketing คืออะไรก็ได้ที่หมายถึงการเผยแพร่ข้อความออกไปในแบบธรรมชาติ ที่ปกติเราควบคุมมันไม่ได้หรอกครับ แต่นักการตลาดก็จะพยายามไปควบคุมมันด้วยการบอกว่า ?เชื่อฉันสิ มันคุมได้นะ? ซึ่งส่วนตัวผมไม่เห็นว่ามันจะคุมได้สักเท่าไหร่ ทำได้เต็มที่คือการคอยติดตามดูว่าคนเขาคุยอะไรกัน เขาพูดถึงเราว่ายังไง แล้วก็คอยเข้าไปแก้ไขให้สิ่งที่คนเขากำลังคุยกันอยู่นั้นตรงกับความต้องการ ของเรา อย่างเช่น ลูกค้าไม่พอใจบริการอะไรของสปาสักแห่งหนึ่ง เอาไปโพสต์ต่อว่าในเว็บบอร์ดต่างๆ ถ้าเจ้าของสปารู้จักตามแก้ไขให้ลูกค้าก็โชคดีไป ถ้าไม่เห็นอันนี้ซวยครับ เพราะคุณอาจจะเสียลูกค้าอีกหลายคนก็ได้
จริงๆ แล้วผมว่าไอ้เจ้า Conversational marketing ถ้ามองแบบตามความเป็นจริงโดยไม่ต้องไปคิดปรุงแต่งอะไรมันมาก มันก็คือการทำความเข้าใจลูกค้าด้วยการ ?ฟัง? สิ่งที่เขาคิดสิ่งที่เขาพูดมากกว่าเมื่อก่อนนั่นเอง ในขณะเดียวกัน เราก็ ?พูด? หรือ ?ตะโกน? ได้มากกว่าสมัยก่อนเยอะ อย่างสมัยก่อนนักการตลาดเวลาอยากจะสื่อสารอะไรกับผู้บริโภคก็จะบอกผ่านสื่อ นักหนังสือพิมพ์สมัยก่อนก็มีอำนาจมาก ชี้เป็นชี้ตายใครๆ ได้เลย สมัยก่อนสื่อมีอำนาจจริงๆ ครับ แต่สมัยนี้พออินเทอร์เน็ตเข้ามา ทุกอย่างมันกลายเป็นอย่างนี้ครับ
เจ้าหมาน้อยตัวเล็กตะโกนด่าหมาตัวโต "ฟุคยู"
ในรูปนี่จะเห็นว่าไอ้หมาน่อยตัวเล็กมันตะโกนด่าเจ้าหมายักษ์ ? ฟุคยู ? เฉยเลย ทั้งที่สมัยก่อนมันไม่มีโอกาส เมื่อก่อนผู้บริโภคไม่มีอำนาจอะไร ก็จะบ่นว่า ? นักข่าวทำอะไรก็ได้มีปากกาอยู่ในมือ คิดจะทำอะไรก็ทำ ? แต่สมัยนี้ผมว่า ?ทุกคนมีปากกา? แล้วครับ อยู่ที่ว่าคุณจะใช้ปากกาของคุณแบบไหน
ทั้งหมดที่เขียนมานี้ผมเพียงแต่อยากจะบอกว่า Conversational marketing นี่ สำหรับผมเป็นเพียงศัพท์อีกคำที่ฝรั่งเขาคิดขึ้นมาเพื่อพยายามสร้างความแตก ต่างในการอ้างสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของแนวคิดทฤษฎีทางการตลาดของตัวเอง แต่ท้ายที่สุดมันอยู่ที่ว่า ถ้าคุณเป็นเจ้าของสินค้าหรือบริการ คุณทำให้มันมีประโยชน์กับลูกค้าของคุณได้ดีแค่ไหน ใช้ดีไหม บริการดีไหม ถ้าดีและน่าสนใจ คนก็จะบอกต่อกันไปเอง แต่ถ้าไม่ดีก็ให้เราเตรียมรับมือให้ดี เดี๋ยวนี้โลกมันหมุนไว
หมาน้อยตะโกน ?ฟุคยู? ทีเดียว หมาใหญ่ก็น๊อคล้มตึงได้ง่ายๆ
ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม
เอาเทคนิคที่ใช้อยู่ และใช้ได้ดีมาบอก เพื่อนๆจะได้ไม่ต้องเหนื่อยหาลิงค์กันมากเวลาทำเว็บ เทคนิคนี้ไม่ค่อยมีคนจะใช้กัน เพราะมองข้าม และ ลืมคิดไปว่า Google ต้องการอะไร
เวลาผมจะทำ SEO ผมจะคิดก่อนว่า Google ต้องการอะไรผมก็ทำตามที่ Google ต้องการก็ได้ Ranking อย่างไม่ยากเย็น
เทคนิค นี้เป็นเทคนิคที่จะทำให้เว็บขึ้น Ranking ได้ โดยอาศัย Concept ที่ว่า Google ต้องการเว็บที่มี Theme และมีข้อมูลที่หลากหลายสำหรับ user ที่เข้ามาที่เว็บของเรา
วิธีทำ
1. จด Domain เอา keywords ไว้ใน Domain
2. ใช้ unique Content
3. ทำการใส่ลิงค์ออกประมาณ 50 links ออกไปหาเว็บต่างๆที่มีเนื้อหา เหมือน หรือ คล้ายกับเว็บของเรา โดยเว็บเหล่านั้นต้องเป็นเว็บที่มีคุณภาพ
โดย เลือกลิงค์ไปหาเฉพาะเว็บไซต์ที่ไม่ใช่ Commercial นะครับ เช่น .org, edu หรือ wiki (เว็บที่ไม่เป็น Commercial เช่นเว็บทีไม่มี AdSense หรือไม่มีการขายของ)
4. Link text ที่ link ออกไปก้ใช้เป็นพวก keywords ที่ Relate กับ keywords ของเรา เช่น
ผมทำ seo คำว่า hair growth baldness
ถ้าเราเอาคำนี้ไป search ที่ Google ที่ด้านล่างสุด Google จะแนะนำ
Searches related to: hair growth baldness
male pattern baldness
baldness self esteem
cure for baldness
grow hair bald
ผมก็เอา keywords เหล่านี้ไปหาว่า ใน .edu, org, wiki มีเนื้่อหาเกี่ยวกับพวกนี้หรือไม่
ซึ่งผม Search ดูแล้วพบว่ามีเว็บ edu ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับ หัวล้าน และผมร่วงดังต่อไปนี
male pattern baldness
http://pennstatehershey.psu.edu/healthinfo/hie/1/001177.htm
Definition of Male pattern baldness
http://www.umm.edu/ency/article/001177.htm
Baldness treatments
http://en.wikipedia.org/wiki/Baldness_treatments
Causes, incidence, and risk factor Male pattern baldness
http://www.drexelmed.edu/Home/...tions/Malepatternbaldness.aspx
์Note: Concept ของ link ที่ออกไปก็คือการลิงค์ออกไปหาเว็บไซต์ต่างๆทมีเนื่อหาที่มีคุณภาพ ด้วย keywords ที่ RELATE กับ keywords ที่เราต้องการขึ้น Ranking
ทำ เท่านี้เว็บไซต์ของเพื่อนๆก้จะได้อันดับ 1 - 5 ไม่ยากเย็น ผมใช้เทคนิคนี้ก็ keywords ที่แ่ข่งขั้นไม่สูงมากนัก แต่ถ้าเป็นกลุ่ม Finance ใช้ไม่ได้ผลนะครับเพราะแข่งขั้นสูงเกินไป
ที่มา : peemai88
เงินเดือนของ SEO ฝรั่ง
ปรกติฝรั่งเค้าจะจ่างเงินเป็นรายปี ลองมาดูกันว่าเค้าจ่ายกันเท่าไร
--- VP/Director of Search Marketing $ 100,000 - $ 350,000 +
บุคคล นี้เป็นครั้งสุดท้ายรับผิดชอบในการตั้งค่าทิศทางและกลยุทธ์สำหรับ บริษัทขนาดใหญ่ที่มีรายได้จาก $ 25-$ 1000ล้าน + เนื่องจากตำแหน่งนี้ ความรับผิดชอบเยอะ บริษัทเลยให้ค่าตอบแทนที่เยอะมากตาม
--- Director/Manager of Organic Search $ 75,000 - $ 150,000
บุคคลนี้มีหน้าที่ในการจัดการทีมของ SEO บุคลากร และรายงานที่ระดับอาวุโสด้านการตลาดหรือ SEO VP/Director
--- SEO guru $ 75,000 - $ 200,000
SEO guru เป็นคนที่ทำให้ทีม SEO เดินหน้า
--- Campaign Manager $ 55.00 - $ 100,000
ผจก. แคมเปญจะผู้เฝ้าดูและรายงาน ให้กับ director เ ถึงความเคลื่อนไหนของ campaign นั้นๆ
--- SEO Specialist (Links, Content and/or KW Research) $ 40,000 - $ 80,000
จะทำงานเป็นทีม คอยดูแล content keyword ปริมาณlink และอื่นๆ จิปาถะ
---SEO Director $ 50,000 - $ 100,000
จะเป้นผู้นำทีม SEO
---Search Marketing Consultant $ 60,000 - $ 200,000
พวกนี้จะต้องมีทักษะด้านการตลาดด้วย คอยหาช่องทางทำการตลาดอยู่เสมอ
---Link Builder $ 35,000 - $ 100,000
---Content Writer $ 35,000 - $ 75,000
เขียน content ให้กับเว็บ
---SEO Researcher $ 30,000 - $ 60,000
วิเคราะcontent หาข้อมูล keyword ที่เหมาะสมให้กับเนื้อหา
---Client Relations Coordinator $ 35,000 - $ 75,000
ติดต่อ ให้ข้อมูลลูกค้า แจ้งสถานะว่าตอนนี้ทำอะไรถึงไหนแล้ว
เป็น ข้อมูลเงินเดือน ของ Seattle อเมริกา เค้าบอกว่า ถ้าเป็นที่อื่น เช่น New York, London, San Francisco, Los Angeles หรือ Tokyo เงินเดือนอาจจะดีกว่าก็ได้
ที่มา : kitakaze41
เว็บมาสเตอร์หากต้องการเงินตราของเว็บไซต์ที่วิธีที่ดีในการกระทำนั้นผ่าน ทาง AdSense. มีจำนวนมากเว็บมาสเตอร์ดิ้นรนหนักเพื่อได้รับเงินบางดีวันผ่านเว็บไซต์ของ พวกเขา. แต่แล้วบางส่วน "geniuses" ของพวก เขาจะเพลิดเพลินกับหลายร้อยดอลลาร์ต่อวันจากโฆษณา AdSense บนเว็บไซต์ของพวกเขา.
สิ่งที่ทำให้เว็บมาสเตอร์เหล่านี้ต่างจากที่ อื่นๆประเภทที่แตกต่างกันและพวกเขาคิดว่าพวกเขาออกจากช่อง. ที่มีผู้ได้รับและทำมันได้ทีเดียวที่มีประโยชน์เคล็ดลับที่จะช่วยให้ผู้ที่ ต้องการทุนเพื่อเข้าสู่ฟิลด์นี้. บางเคล็ดลับเหล่านี้มี boosted น้อยของรายได้ในอดีตและมีทำอย่างต่อเนื่องดังนั้น.
ต่อไปนี้เป็นวิธีการพิสูจน์ 5 วิธีที่ดีที่สุดในการปรับปรุง AdSense ของคุณรายได้.
1. ด่อมในรูปแบบของโฆษณา AdSense. หนึ่งรูปแบบที่ทำงานได้ดีสำหรับส่วนใหญ่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ (336x280). รูปแบบเดียวกันนี้มีแนวโน้มที่จะส่งผลใน CTR ที่สูงขึ้นหรือคลิกผ่านอัตรา. ทำไมต้องเลือกรูปแบบนี้ออกจากหลายที่คุณสามารถใช้? ทั่วไปเนื่องจากโฆษณาจะมีลักษณะเช่นปกติเว็บลิงค์และผู้คนที่ใช้ในการคลิ กที่พวกเขาเหล่านี้คลิกประเภทของลิงค์. พวกเขาอาจจะหรืออาจจะไม่ทราบว่ามีการคลิกที่ AdSense ของคุณแต่ตราบเท่าที่มีการคลิกก็จะมีทั้งหมดของคุณประโยชน์.
2. สร้างจานสีที่กำหนดเองสำหรับโฆษณาของท่าน. เลือกสีที่จะดีไปกับพื้นหลังของเว็บไซต์. ถ้าไซต์ของคุณมีฉากหลังสีขาว, พยายามที่จะใช้เป็นสีขาวของโฆษณาชายแดนและพื้นหลัง. แนวความคิดที่จะเอาแบบอย่างสีคือทำให้โฆษณาของ AdSense ซึ่งมีลักษณะเหมือนมันเป็นส่วนหนึ่งของหน้าเว็บ. อีกครั้งนี้จะส่งผลให้จำนวนคลิกเพิ่มขึ้นจากผู้เยี่ยมชมไซต์ของคุณ.
3. ลบของ AdSense จากด้านล่างของหน้าเว็บไซต์ของคุณและนำพวกเขาที่ด้านบน. อย่าพยายามซ่อน AdSense ของคุณ. วางไว้ในที่ที่ผู้คนสามารถดูพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว. คุณจะประหลาดใจวิธีการที่แตกต่างระหว่าง Adsense ตำแหน่งเมื่อคุณสามารถดูรายได้ของคุณ.
4. รักษาเชื่อมโยงไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง. หากคุณคิดว่าบางเว็บไซต์ที่ดีกว่าคนอื่นๆวางโฆษณาของคุณมีและพยายามที่จะ รักษาและจัดการพวกเขา. หากมีจำนวนมาก Adsense เข้าที่บางเว็บไซต์ของคุณวางบนทั้งหมดของพวกเขา. ด้วยวิธีนี้ผู้เข้าชมจะเห็นโฆษณาของคุณเมื่อแรกเข้าที่เรียกดูเว็บไซต์.
5. ลองโดยอัตโนมัติที่แทรกของรหัส AdSense ในหน้าเว็บที่ใช้ SSI (หรือเซิร์ฟเวอร์ด้านรวม). ขอให้ผู้ดูแลเว็บถ้าเซิร์ฟเวอร์ของคุณหรือไม่สนับสนุน SSI. อย่างไรที่คุณทำมันได้หรือไม่เพียงบันทึกรหัส AdSense ของท่านในแฟ้มข้อความ, ประหยัดเป็น "AdSense ที่ข้อความ" และอัปโหลดไปยังไดเรกทอรีรากของเว็บเซิร์ฟเวอร์. จากนั้นใช้ SSI โทรโค้ดบนเพจอื่นๆ. เคล็ดลับนี้เป็นเวลาประหยัดโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับบรรดาผู้ที่กำลังใช้ปั่น ไฟฟ้าอัตโนมัติเพื่อสร้างหน้าหน้าในเว็บไซต์ของตน.
เหล่านี้คือ เคล็ดลับบางประการที่มีการทำงานที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างร้อยพันและแม้ แต่ในเว็บไซต์. เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องทราบว่าแม้ว่าโฆษณาจะปรากฏเนื่องจากมันพอดีกับผล ประโยชน์ของบุคคลที่ดูพวกเขา. ดังนั้นเน้นเฉพาะหัวข้อควรวัตถุประสงค์หลักของคุณเนื่องจากจะมีการแสดงที่ กำหนดเป้าหมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่หัวข้อที่บุคคลจะดูแล้ว.
หมาย เหตุยังมีที่อื่นๆอีกมากมาย Adsense แบ่งปันหัวข้อเดิมที่คุณ. เหมาะแก่การคิดของการโฆษณาที่ดีที่จะค่อนข้างแตกต่างกันและที่ไม่ซ้ำกันกว่า ที่ได้กระทำ. ทุกคลิกที่ผู้เข้าชมให้เป็นจุดสำหรับคุณเพื่อให้ทุกคลิกนับโดยการ AdSense ของคุณสิ่งที่ผู้คนจะมั่นเหมาะคลิกที่.
เคล็ดลับที่กำหนดโดยผู้ ที่ได้ boosted พวกเขาได้กระทำไว้เป็นเพียงคำแนะนำที่พวกเขาต้องการแบ่งปันกับคนอื่นๆ. หากพวกเขาได้อย่างใดทำงานเพื่อบางสิ่งมหัศจรรย์, บางทีมันสามารถทำงานสิ่งมหัศจรรย์สำหรับคุณเกินไป. ลองพวกเขาไปโฆษณาของคุณและดูผลจะนำ.
ถ้าคนอื่นๆได้กระทำมันมีอะไรผิดพยายามออกเอง.
ที่มา : 108programs
โลโก้ หรือ สัญลักษณ์ ที่ใช้สือความหมายและอาจบ่งบอกแทนการประกอบกิจการเพื่อง่ายในการจดจำกว่าการใช้ชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อภาพลักษณ์ของกิจการ หรือ บริษัทในการออกแบบ โลโก้ มีองค์ประกอบที่สำคัญ ดังต่อไปนี้
1. ชื่อ และ ลักษณะของกิจการ ส่วนใหญ่ในการประกอบกิจการอะไรก็แล้วแต่ต้องมีการใช้ชื่อเพื่อใช้เรียกในกิจการของตน ซึ่งอาจจะมีการใช้ให้ตรงกับลักษณะของกิจการที่เรากำลังจะทำอยู่ เช่น
1.1 สีลมค้าส่ง จะบ่งบอกถึงการประกอบกิจการค้าส่ง โดย ผู้ประกอบการหรือเจ้าของที่ชื่อ สีลม หรือเป็นชื่อของสถานที่ตั้งก็ได้
1.2 ฌ กาแฟโบราณ จะบ่งบอกถึงการประกอบกิจการร้านกาแฟ โดย ผู้ประกอบการหรือเจ้าของที่ชื่อ เฌอ หรือ
เป็น ความชอบพยัญชนะไทยตัว ฌ ก็ได้ชื่อที่ใช้ บางครั้งอาจจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกิจการก็ได้ เพราะบางครั้งชื่อที่เราใช้อาจจะเป็นความชอบส่วนตัวของคำ , ความหมาย , ความประทับใจของชื่อ ก็ได้ แต่กลับกัน ถ้าชื่อดี ความหมายดีก็จะเป็นศรี ต่อการประกอบกิจการ ซึ่งในทางหลักของโหราพยากรณ์ผู้ประกอบกิจการที่มีความเชื่อในเรื่องนี้จะมีการตรวจสอบ ชื่อที่ใช้ต่อผู้มีความรู้ในทางหลักของโหราพยากรณ์ เพื่อให้ชื่อที่ใช้ส่งผลต่อกิจการในทาง บวกซึ่งจะควบคู่กับการเลือกใช้ สี อีกด้วย
2. รูปลักษณ์ ในการออกแบบโลโก้ มีส่วนสำคัญในการจดจำเป็นอย่างดีต่อชื่อที่ใช้เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำ ไม่มีหลักตายตัวใดในการออกแบบ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เป็นเข้าของโลโก้ที่จะชื่อรูปลักษณ์ใดในการออกแบบ โลโก้ ซึ่งแบบที่ใช้เป็นอาจจะเป็น ตัวอักษร , วงกลม , วงรี ,สี่เหลี่ยม , สามเหลี่ยม , หกเหลี่ยม , แปดเหลี่ยม , สีเหลี่ยมหัวมน หรือ เป็นรูปคน สัตว์ สิ่งของ ก็ได้เพื่อช่วยให้ง่ายในการจดจำ
3. สี สีเป็นสิ่งที่สะท้อนในการมองให้เกิดการเร่งเร้าต่อสัญลักษณ์ที่่ใช้ซึ่งสีที่่เราใช้ยังมีอำนาจในการปลุกเร้า ให้เกิดความสนใจต่อการมองอีกด้วย และ ในทางหลักของโหราพยากรณ์ก็มีความเชื่อ ในเรื่องของสีเช่นกัน หรือ เรียกว่า สีถูกโฉลก ต่อสัญลักษณ์ และ กิจการ
สี ที่ใช้ในการออกแบบส่วนมากจะใช้ 1 - 3 สี แต่ส่วนมากแล้วนิยมใช้ไม่เกิน 2 สี ซึ่งแบ่งเป็น
สีร้อน กับ สีเย็น หรือ ให้เข้าใจง่ายก็คือ สีเข้ม กับ สีอ่อน
สีร้อน กับ สีเย็น เป็นสีที่มีพลังและอำนาจ ในการเกื้อกูล ซึ่งกันและกันในทางหลักของโหราพยากรณ์แต่ในการออกแบบจะคำนึงถึงสี สีร้อน กับ สีเย็น หรือ สีเข้ม และ สีอ่อนเพื่อให้งานที่ออกแบบนั้นดูมีเสน่ห์ ดึงดูดความสนใจกับผู้ที่มอง
ในทางกลับกัน ผู้ออกแบบ บางคนอาจใช้สีร้อนกับ สีร้อน หรือ สีเข้ม กับ สีเข้ม แต่แตกต่างกันที่โทนสีมาใช้ในการออกแบบในการออกแบบโลโก้ และ การเลือกใช้สี ให้เหมาะสมกันนั้นเราต้องคำนึงถึงการนำไปใช้ต่อในทางอื่นอีกด้วย เช่น การนำโลโก้ ไปใช้ในทางการพิมพ์งานต่างๆ ป้าย ,กระดาษแบบฟอร์ม , เสื้อผ้า , ภาชนะ , สติกเกอร์ ฯ เพื่อให้ง่ายต่อการพิมพ์และรวมถึงต้นทุนต่อการใช้สีที่พิมพ์อีกด้วย หลากหลายสีสัน ที่เป็นทั้ง สีร้อน กับ สีเย็น หรือ สีเข้ม กับ สีอ่อนให้เราเลือกใช้ให้เหมาะกับตราสัญลักษณ์ หรือ โลโก้ของเรา
นักออกแบบ อาจให้คุณเลือกสี จาก Pantone หรือ ตัวอย่างสี หรือ สีที่มีการพูดคุยกัน
และเมื่อออกแบบเสร็จแล้วจะมีการกำหนดค่าสีให้กับคุณอีกด้วย เพื่อนำไปใช้ในงานพิมพ์
เพื่อจะให้การพิมพ์สีของโลโก้นั้นออกมาเหมือนกันทุกครั้งอีกด้วย เช่น สีน้ำเงิน C 100 + M 80 , สีส้ม M
60 + Y 100 , สีฟ้า C 80 , สีเขียว C 80 , Y 100 เป็นต้น
ที่มา : โฮลิซอนคาเฟ่ดอทคอม
ระบบการจัดการเนื้อหา (Content Management Systems :CMS )นั้น นับได้ว่าเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยในการสร้างเว็บไซต์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย จนเป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นของฟรีหรือ open source อีกด้วย
1.Joomla เป็นที่นิยมและได้รางวัลชนะเลิศ CMS มาแล้ว มีความสามารถสูงในการจัดการเว็บไซต์ รองรับระบบ portals
2.XOOPS เป็นอีกสายพันธ์ที่พัฒนาต่อมาจาก phpNUKE รองรับระบบ blogs,pottals และอื่นๆอีกมากมาย
3.Drupal เป็นที่นิยมอย่างมากในขณะนี้ มี module และฟังก์ชันหลากหลายให้ใช้งาน
4.e107 ถูกออกแบบและพัฒนาโดย php+mySQL
5.Plone ติดตั้งง่าย ใช้งานคล่อง รองรับการทำงานเป็นกล่ม รวมไปถึง extranets และ intranets
6.Zope รองรับระบบ portals,intranets รวมไปถึงการออกแบบโปรแกรม
7.PHPnuke เป็น CMS ต้นฉบับดั้งเดิม ความสามารถหลากหลาย แต่ค่อนข้างล้าสมัย ใช้งานยากนิดหน่อย
8.Dotnetnuke พัฒนามาจาก PHPnuke เพื่อใช้ในรูปแบบ Microsoft .NET
9.Typo3 มีความยืดหยุ่นสูง ฟังก์ชันและโมดูล หลากหลาย
10.PostNuke ระบบรักษาความปลอดภัยดีเยี่ยม นอกจากนี้ยังมี CMS ให้เลือกใช้อีกมากมายขึ้นอยู่กับความต้องการ และรูปแบบของ web master นับได้ว่า CMS ได้มีส่วนในการปฏิวัติวงการอินเตอร์เน็ตได้มากทีเดียวครับ
ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต
ในปัจจุบัน Microblogging กำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก ที่ใช้ในการแชร์ข่าวหรือข้อมูลในบล๊อคของตนเอง และติดตามเรื่องคนอื่นๆได้อย่างรวดเร็ว เช่น Twitter หรือ NokNok ในบ้านเรา และนั่นเองเป็นสาเหตุที่ทำให้ยักษ์ใหญ่จอมกวาด เตรียมที่จะปล่อย Search Engine สำหรับ Microblogging ที่จะเรียงลำดับผลการค้นหาและรวมผลการค้นหาที่มาจาก Microblogging ทั้งหมดคล้ายกับ Google Search Blog นั่นเองครับ ส่วนรูปแบบหน้าตาก็จะคล้ายๆกับที่ twitter ใช้อยู่ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยกันดี แต่ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างปรับปรุงส่วนโปรแกรมรูปแบบของข้อความ ที่อยู่ใน Microblogging อย่างเช่น twitter เพื่อที่จะให้เชื่อมต่อกับ Twitter and microblogging platforms อื่นๆซึ่งถือได้ว่ามีสมาชิกและข้อมูลจำนวนมหาศาล ผลในการค้นหาจะมีทั้งความถี่ของการใช้ keywords ต่างๆและเหตุการณ์ต่างๆซึ่งต้องมีส่วนสัมพันธ์ให้มากที่สุด รวมทั้งการพัฒนาให้เป็น Multilanguage อีกด้วย คาดว่าคงจะคลอดเร็วๆนี้แน่นอน.
ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต
ห้อง Chat หรือสนทนาออนไลน์กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ Blog หรือ Website โดยเฉพาะที่กำลังฮิตมากๆอย่าง Cbox ซึ่งใช้งานง่าย และเร็ว แต่สามารถลงทะเบียนได้แค่ URL เดียวต่อหนึ่งสมาชิก สำหรับ TinyChat นั้นมีความสามารถและลูกเล่นเยอะกว่า มารถสร้างห้องสนทนากี่ห้องก็ได้ โดยไม่ต้องสมัครสมาชิก จากนั้นก็นำ Embed Code ไปติดตั้งใน Blog เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ส่วนความสามารถก็ถือได้ว่าสุดยอดคือ สมาชิกสามารถคุยและพูด สื่อสารกันได้ รวมทั้งเห็นหน้าตา ด้วย Video และ Frame rate ที่มีความละเอียดสูง ไม่แพ้ msn และ บรรดา Web Cam ทั้งหลายเช่น Tweet cam เลยทีเดียวที่สำคัญคือทุกอย่างฟรีครับ ลองใช้งานกันดูน่ะครับที่ tinychat.com
ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต
ขั้นตอนการสมัครเป็นตัวแทนโฆษณาก็ไม่ยากครับ เลือกตรงส่วน Publishers จากนั้น Click here to apply for a Commission Junction publisher account. ดังนี้
Step 1 เลือก ภาษา ประเทศ และก็สกุลเงินที่ต้องการให้แสดงผลใน CJ
Step 2 ยอมรับเงื่อนไขและข้อตกลง
กรอกรายละเอียดข้อมูลเว็บไซต์ ยกตัวอย่างในกรณีที่ไม่มี เว็บไซต์
กรอกรายละเอียดข้อมูลส่วนตัว
ขั้นตอนสุดท้ายใส่ข้อมูลที่จะรับเงิน
หลังจากกรอกข้อมูลครบถ้วนและกดปุ่ม Accept Terms แล้วให้รอรับการยืนยันการสมัครทาง Email ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย ครับ
ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต
สำหรับใครที่สมัคร Amazon associates เรียบร้อยแล้วยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง? ก็ลองดูวิธีสร้าง link สำหรับเอาไปโปรโมท หรือ ทำการตลาดกับ Google Adwords นะครับ ส่วนใครภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ก็รอฉบับไทยๆ ที่จะตามมากันต่อไป...หาเจอแล้วจะมาโพสอีกทีครับ
ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต
Amazon อเมซอนคือเว็บอะไร? อเมซอน เป็นเว็บไซต์ที่ที่โด่งดังและใหญ่มากติดอันดับต้นๆของเว็บไซต์โลกเลยทีเดียว (ถ้าจำไม่ผิด อยู่ประมาณอันดับที่ 27 ของโลกมั้ง) มีชื่อเสียงทางด้านขายหนังสือ ขาย DVD หนัง ดังนั้นคนทั่วโลกจะเป็นที่รู้จักกันดี ว่า เว็บอเมซอนขายหนังสือ แต่ปัจจุบัน อเมซอน ได้ขายของทุกอย่าง มีทุกหมวดหมู่ของสินค้า โอ้ช่างดีอะไรเช่นนี้…. นอกจากนั้นอเมซอนยังสามารถให้เรามีโอกาส สร้างรายได้ โดยการเป็นผู้แนะนำ (Affiliate) ให้ คนอื่นไห้เข้ามาซื้อสินค้าในเว็บอเมซอน และเมื่อมีคนมาซื้อสินค้าโดยผ่านการแนะนำมาจากเรา เราก็จะได้ผลตอบแทน (Commission) 4%-10% เนื่องจากว่าชื่อเสียงของอเมซอนโด่งดัง ดังนั้นการขายสินค้าของอเมซอนก็จะขายได้ง่าย เพราะว่ามีความน่าเชื่อถือสูง ช่างดีจริงๆเลย
สร้างรายได้ กับ อเมซอน
ประวัติความเป็นมา AMAZON
(www.amazon.com) เป็นร้านขายหนังสือออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก Amazon ได้กลายเป็นชื่อที่ทุกคนในวงการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์รู้จักกันเป็นอย่างดี Jeff Bezos ผู้ก่อตั้งและผู้บริหารสูงสุดของบริษัทได้กลายเป็นแบบอย่างของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเอาดีในธุรกิจอินเตอร์เน็ต และจากการสำรวจของ Forbes ได้จัดอันดับให้ Jeff Bezos ติดอันดับคนที่รวยที่สุดในอเมริกาอันดับที่ 42 โดยมีทรัพย์สิน 4.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
Amazon เริ่มเปิดดำเนินการในเดือนกรกฎาคมปี 1995 โดยเริ่มจากการขายหนังสือผ่านทางอินเตอร์เน็ต ทันทีที่เปิดร้าน Amazon ประชา สัมพันธ์ตัวเองว่าเป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีหนังสือให้เลือกซื้อได้ถึงกว่าล้านเล่ม การขายหนังสือผ่านอินเตอร์เน็ตทำให้ Amazon ไม่จำเป็นต้องลงทุนในเรื่องพนักงานขายและร้านค้า และสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วจนในเดือนเมษายนปี 2000 Amazon มีลูกค้ารวม 20 ล้านคนจากกว่า 160 ประเทศทั่วโลก
ต่อมา Amazon ได้เริ่มขยายตัวไปยังธุรกิจประเภทอื่น ๆ โดยเปิดขายสินค้าประเภทดนตรี: CD ในเดือนมิถุนายนปี 1998 เปิดขายวิดีโอและของขวัญในเดือนพฤศจิกายน ปีเดียวกัน ในปี 1999 Amazon ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วต่อไป โดยเปิดการประมูลสินค้าระหว่างบุคคล และให้ผู้ค้าปลีกรายย่อยสามารถมาตั้งร้านภายใน Amazon ได้โดยใช้ชื่อว่า zShops พร้อมกับเพิ่มสินค้าชนิดต่าง ๆ เข้าไปมากมาย จนปัจจุบัน Amazon ใช้สโลแกนว่า ™ ประเภทของสินค้าที่ Amazon ขายในปัจจุบันมีดังนี้ หนังสือ CD เพลง DVD วิดีโอ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซอฟต์แวร์ ของเล่น วิดีโอเกมส์ สินค้าสุขภาพและความงาม ศิลปะและของสะสม เครื่องครัว อุปกรณ์และเครื่องตกแต่งสวน เครื่องมือที่ใช้ในบ้าน และยังมีร้าน zShops ซึ่งมีผู้จำหน่ายรายย่อยเข้าร่วมจำนวนมากและมีสินค้าที่ขายอยู่อย่างหลากหลาย พร้อมกับส่วนการประมูลหรือ Auction ซึ่งทำให้บุคคลธรรมดาสามารถนำสิ่งของของตนไปประมูลขายหรือหาซื้อสินค้าจากผู้อื่นได้
บริษัทมีรายชื่อหนังสือ เพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่น เกมส์ และโปรแกรมคอมพิวเตอร์ขายรวมกันมากกว่า 1.8หมื่นล้านรายการ Amazon ยังขยายธุรกิจไปในต่างประเทศอีก 6 ประเทศ คือ อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น จีน แคนาดา
ในปี 1999 บริษัทมีลูกค้ามากกว่า 17 ล้านรายกระจายอยู่ในประเทศต่างๆ มากกว่า 150 ประเทศ และมีรายได้จากการประกอบธุรกิจถึง 1.64 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก 610 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และ 148 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯในปี 1998และ 1997 ตามลำดับ
สินค้าของ Amazon ที่ มีการซื้อขายมาก ได้แก่ หนังสือ ซีดีเพลง ดีวีดี วิดีโอเทป เครื่องใช้อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ตุ๊กตา ของเล่น ของที่ระลึก เครื่องแก้ว เครื่องประดับ และอื่นๆ
Organization Direction Development Vision
เป็นร้านค้าปลีกทางอินเตอร์เน็ต ที่ขายสินค้าทุกอย่าง ที่มีขายผ่านทางอินเตอร์เน็ต
Missionธุรกิจของเรา คือ ร้านค้าปลีกทางอินเตอร์เน็ต
ลูกค้าของเรา คือ ประชากรทั่วโลก (World’s population)
คุณค่าที่ให้กับลูกค้า คือ ให้บริการในการขายสินค้าได้รวดเร็วที่สุด ง่ายที่สุด
ธุรกิจของเราควรเป็นอย่างไร
เป็น ร้านปลีกทางอินเตอร์เน็ตแก่ประชากรทั่วโลก โดยเป็นผู้นำในร้านค้าปลีกทางอินเตอร์เน็ต และให้บริการในด้านการขายสินค้าได้รวดเร็วที่สุด ง่ายที่สุด
“วิสัยทัศน์ของเราคือการเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับลูกค้าที่จะเข้ามาหาและค้นพบทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาต้องการซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต” ซึ่งเป็นคำกล่าว Joe Galli, COO ของ Amazon ได้ สรุปเอาแก่นของธุรกิจของ Amazon เอาไว้ได้เป็นอย่างดี ธุรกิจของ Amazon ไม่ใช่เป็นเพียงการค้าปลีกธรรมดาเท่านั้น แต่คือการอำนวยให้ผู้คนต่าง ๆ สามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้ดีที่สุด ไม่ว่าสินค้านั้น Amazon จะขายเองหรือเป็นสินค้าของผู้ขายใน zShops หรือส่วนการประมูล เพราะในที่สุดแล้ว Amazon ย่อมสามารถสร้างรายได้ได้จากการขายในทุกประเภท ไม่ว่าจะในทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม
ขั้นตอนในการประกอบธุรกิจ
ลูกค้าสามารถใช้เว็บไซต์ของ Amazon ใน การสืบค้นรายชื่อสินค้า ราคา ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ และข้อมูลอื่นๆ โดยยังไม่ต้องลงทะเบียนเป็นสมาชิก อย่างไรก็ตามลูกค้าอาจเลือกที่จะลงทะเบียนเป็นสมาชิกของ Amazon เลย เพื่อประโยชน์ต่างๆ เช่นการได้รับส่วนลดพิเศษ และได้รับข้อมูลหนังสือและสินค้าอื่นๆ ที่อยู่ในความสนใจ เป็นต้นขั้นตอนการซื้อหนังสือผ่าน Amazon มีดังต่อไปนี้
1. เมื่อลงทะเบียนเป็นสมาชิกของ Amazon แล้ว ลูกค้าสามารถสืบค้นสินค้าต่างๆ ตามที่ต้องการ
2. เมื่อ พบสินค้าที่ต้องการ ลูกค้าสามารถที่จะดูข้อมูลเบื้องต้นของสินค้า เช่น ผู้แต่ง ราคา สารบัญ คำนำ บทวิจารณ์ และสำนักพิมพ์ เป็นต้น
3. เมื่อลูกค้าตกลงใจที่จะซื้อสินค้าโดยการเลือกสินค้าใส่ตะกร้า (Add to Cart) ลูกค้าจะต้องกรอกข้อมูลส่วนตัว อย่างไรก็ตามลูกค้าที่ลงทะเบียนเป็นสมาชิกอยู่แล้ว ไม่ต้องให้ข้อมูลในส่วนนี้เพิ่มเติมอีก
4. เมื่อได้ข้อมูลที่จำเป็นครบถ้วนแล้ว บริษัทจะแสดงราคารวมทั้งหมดซึ่งรวมค่าส่ง (Shipping and Handling) และภาษี (Tax) โดยลูกค้าที่อยู่ในต่างประเทศไม่ต้องเสียภาษี หลังจากนั้นลูกค้าจะต้องกรอกหมายเลขบัตรเครดิต
5. เมื่อ ลูกค้าชำระเงินเรียบร้อยแล้ว บริษัทจะแจ้งรหัสการสั่งสินค้าให้แก่ลูกค้า เพื่อใช้อ้างอิงในการติดตามความก้าวหน้าของการสั่งซื้อสินค้าและจัดส่ง สินค้า
6. เมื่อได้รับคำสั่งซื้อจากลูกค้าแล้ว ข้อมูลคำสั่งซื้อดังกล่าวจะถูกส่งให้ศูนย์กระจายสินค้าของ Amazon ซึ่งจะเป็นผู้จัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้า โดยการจัดส่งสินค้าจะใช้บริการจากบริษัทขนส่งพัสดุต่างๆ เช่น บริษัท UPS และไปรษณีย์สหรัฐฯ เป็นต้น
7. ในกรณีที่ศูนย์กระจายสินค้าไม่มีสินค้าอยู่ในคลังสินค้า ข้อมูลการสั่งซื้อจะถูกส่งอย่างอัตโนมัติไปยังSupplierซึ่งเป็นบริษัทค้าส่งหนังสือรายใหญ่ เช่น InGram ให้จัดส่งสินค้าโดยตรงให้แก่ลูกค้า
Technology
Amazon ใช้เทคโนโลยีของ Oracle ทั้งโปรแกรมประยุกต์ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทำเว็บไซต์ (Web Application) ฐานข้อมูล (Database) การบริหารทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource) และโปรแกรมบริหารระบบการเงิน (Finance) โดยมีขนาดของ database ใหญ่เป็นอันดับที่ หก ของโลก
สมัครอเมซอน คลิกที่นี่ https://affiliate-program.amazon.com
วิธี ที่จะทำให้คุณได้รับเงินค่า commission เร็วขึ้น จาก Amazon
ทราบกันดีว่าทุกท่านยังเลือกวิธีการให้ Amazon จ่ายเงินเป็น check อยู่..
แต่ผมได้ลองรับเงินอีกแบบหนึ่ง โดยเลือกแบบ Direct Deposit
วิธีนี้เราจะได้รับเงิน ภายใน 2-3 วัน ซึ่งรวดเร็วกว่า check มาก และเงินเราเข้าไป
รอในบัญชีธนาคารเลย.. ไม่ต้องรอ check ซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยๆ 1 อาทิตย์ กว่า check จะมาถึงมือเรา
ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต