A Blogger by Beamcool

บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ การตลาด seo และ วิธีการ หาเงิน บน อินเตอร์เน็ต เทคนิคในการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต ( เราหมายถึงการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต จริง ๆ ที่ไม่ใช่การชวนเข้า mlm แต่อย่างใดครับ) รวมถึง บริการออนไลน์ ออฟไลน์ ต่าง ๆ ในเครือ Wittybuzz ไว้ด้วยกัน ใครที่เยี่ยมชมนี้ด้วย Internet Explorer แนะนำให้ดาวโหลด Firefox มาใช้จะดีกว่าครับ นอกจากลูกเล่นจะมีเยอะกว่า ยังมีเครื่องมือที่สนับสนุน SEO อีกด้วยครับ


ข้อมูล Research จาก Truehits.net ซึ่งเป็นผู้ให้บริการ เก็บสถิติเว็บไซต์ ในประเทศไทย ค่อนข้างทำให้เราเห็น แนวโน้มที่ชัดเจนว่า ประเทศไทย มีผู้นิยมใช้เสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Google มาเป็นอันดับหนึ่ง ที่ 95.98% ในขณะที่ Sanook ตามมาห่างมาก ๆ ในอันดับสอง อยู่ที่ 2.75% และอันดับสามคือยักษ์ใหญ่ ในวงการอินเทอร์เน็ตโลกอย่าง Yahoo ได้รับความนิยมไปเพียงแค่ 0.4%

ค่อนข้างชัดเจนว่า Google นั้นกวาดส่วนแบ่งตลาดไปถึง 95.98% แล้ว แต่ Sanook เองที่มีส่วนแบ่งผู้ใช้อยู่ 2.75% ด้วยเช่นกัน ถ้าเราดูกันดี ๆ จะพบว่า แท้จริงแล้ว Sanook นั้น ก็ใช้ระบบค้นหาเว็บ เป็นเครื่องมือของ Google เช่นกัน ดังนั้นเมื่อรวมกันแล้วก็ประมาณ 98%

จากข้อมูลนี้ ลองเอาไว้วางแผนการตลาด เวลาต้องการทำ Search Engine Marketing ดูนะครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


ในวงการเอเจนซี่ เค้าจะเรียกตัวชิ้นงานดีไซน์ต่างๆ ว่า creative เช่น ออกแบบ banner หนึ่งชิ้น เค้าก็เรียกว่านี่คือ creative หนึ่งชิ้น เป็นต้น เรามาดูกันว่า เทคนิคที่ Yahoo แนะนำมานี้ น่าสนใจแค่ไหน

ทาง Yahoo บอกเรามาก่อนเลยว่า เรามีเวลาเพียงแค่ไ่ม่เกิน 3 วินาที เพื่อที่จะดึงความสนใจจาก user หรือ visitor นี่คือเทคนิคในการออกแบบ creative ให้ผู้ชมสนใจครับ

1. เน้นไอเดียหลักเพียงแค่ 1 หรือ 2 ประเด็นเท่านั้นก็พอ
2. บริหารจัดการความยาวของตัวอักษรให้ดี ไม่ควรยาวเกินไป เดี๋ยวผู้ชมจะอ่านไม่ทัน
3. เน้นให้เห็นถึงประเด็นที่อยากให้ผู้ชมทำ เช่น ให้โทรไป call center หรือให้คลิก หรือให้เล่นเกมส์ เป็นต้น
4. ทำให้แบรนด์ดูโดดเด่นตลอดเวลาที่แสดง ad เช่น มี logo อยู่ทุกเฟรม
5. ทำให้ banner นั้น interact ได้ เช่นมีเกมให้เล่น หรือให้เอาเมาส์คลิกเพื่อเล่นกับ banner หรือทำ link เพื่อให้ไปอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้
6. วีดีโอออนไลน์มีแนวโน้มที่จะทำงานร่วมกันได้ดีกับแคมเปญออฟไลน์อื่น ๆ
7. ทำให้มีปุ่ม replay บน banner
8. ทำให้ปุ่มปิด (close) ให้เห็นเด่นชัด ในกรณีที่เป็น floating ad หรือ banner รูปแบบอื่น ๆ ที่รบกวนผู้้ใช้ (ปกติแล้ว ปุ่มปิด ควรจะอยู่ที่มุมขวาบน)
9. ใช้ตัวอักษรในการสื่อสารไอเดียหลัก ๆ แทนการใช้เสียง (เพราะผู้ใช้ส่วนใหญ่มักจะปิดเสียง)
10. มีทางเลือกให้้ผู้ใช้ ในการเปิด หรือปิดเสียงของโฆษณาชิ้นนั้น ๆ

ที่มา : เก่งดอทคอม


หากคุณต้องการสร้าง Viral วีดีโอคลิป เพื่อให้ดัง และประสบความสำเร็จ ในการมีผู้เียี่ยมชมล้นหลาม ระดับเป็นล้าน ๆ คน สิ่งเหล่านี้ ย่อมมีเทคนิคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะช่วยส่งเสริม ให้เนื้อหาของ Viral วีดีโอคลิปนั้น ประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก สำหรับตัวเนื้อหาของวีดีโอเอง ก็ย่อมเป็นเรื่องสำคัญ แต่มันก็แล้วแต่ว่าเราจะสร้าง เรื่องอะไร สำหรับเรื่องนี้ เรามาว่ากันถึงมุมทางเทคนิค และข้อควรทำกันล้วน ๆ

1. ทำให้สั้นเข้าไว้ : ประมาณ 15 – 30 วินาที น่าจะกำลังดี เพราะว่าผู้ใช้อินเตอร์เน็ตบ้านเรา ยังไม่ได้ใช้ อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง กันทั้งหมด ใครที่ต้องการทำเรื่องยาว ๆ ก็แนะนำว่าให้หั่นแบ่งเป็น วีดีโอคลิป สั้น ๆ หลาย ๆ ตอนครับ

2. ออกแบบคลิปให้คนอื่นทำเลียนแบบได้ง่าย : การต้องการทำให้วีดีโอคลิปของเรา ได้รับความนิยม มันก็มีอีกมุมหนึ่ง คือ หากมีคนเลียนแบบ เอาไปทำได้ง่าย ๆ ก็จะเป็นการช่วยโปรโมท คลิปต้นฉบับไปในตัว ตัวอย่างเช่น วีดีโอคลิปของ Dramatic Hamster ใคร ๆ ก็สามารถทำได้ และก็มีผู้ทำตามกันเยอะมาก

3. อย่าทำโฆษณาเพื่อ Viral : ถ้าคนดูเค้าดูแล้วรู้สึกว่า มันเป็นโฆษณา เค้าก็จะไม่บอกต่อนะครับ ยกเว้นว่าถ้าวีดีโอคลิปนั้น เจ๋งจริง ๆ ตัวอย่างเช่น วีดีโอคลิปของ Sony Bravia

4. ทำให้ผู้ชมตกใจแบบสุดขีด : พยายามทำให้คนดู ไม่มีทางเลือกอื่น ๆ นอกจากจะต้องไปหาข้อมูล หรือสืบหาข้อมูลต่อไป ว่าวีดีโอคลิปที่เค้าเพิ่งจะดูไปนั้น เป็นจริงเหรอ ตัวอย่างเช่น วีดีโอคลิปของ UFO Haiti

5. เขียนหัวเรื่องหลอก : ทำให้คนดูต้องร้องออกมาว่า “เฮ้ย!! จริงเหรอ (วะ) เนี่ย” ตัวอย่างเช่น คลิปมดดำตบแอร์ หรือ วีดีโอคลิป Stolen Nascar

6. ใช้ความ Sexy เข้าช่วย : คือถ้าทำข้อหนึ่งถึงห้าแล้วมันยังไม่ฮิตซะที ก็ลองจ้างสาวสวย ๆ หรือหนุ่มหล่อ ๆ มาเป็นตัวแสดง ในวีดีโอคลิปนั้น ตัวอย่างเช่น วีดีโอคลิปของ Yoga 4 Dudes ที่ทำวีดีโอคลิปออกมา เพื่อนำเสนอการขาย ลูกบอลออกกำลังกาย (คลิปนี้เด็ก ๆ ไม่ควรดูนะครับ อิ อิ)

เพียงเท่านั้น ก็น่าจะทำให้ Viral Clip ที่คุณจะทำ ประสบความสำเร็จ ได้ในระดับหนึ่งแล้วครับ ลองทำกันดูแล้วกันครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


hi5 หรือที่วัยรุ่นไทยอ่านว่า ไฮไฟว์ บางคนก็อ่าน ฮิห้า ก็มีน่ะครับ เหอ ๆ มาเข้าเรื่องกันดีกว่า hi5 เป็นเว็บไซต์แบบที่เรียกว่า Social Network ซึ่ง hi5 เป็นเว็บไซต์ ที่ได้รับความนิยมสูงสุด แห่งหนึ่งของโลก ซึ่งก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2002 โดยคุณ Ramu Yalamanchi ซึ่งปัจจุบัน ดำรงตำแหน่ง CEO ของ hi5 นั่นเอง

ในเว็บไซต์ hi5 นั้น สมาชิกสามารถสร้างประวัติส่วนตัว แล้วแสดงบนโลกออนไลน์ โดยสามารถแสดงข้อมูลอย่างเช่น สิ่งที่ตนเองสนใจ เพศ อายุ และสามารถ อัพโหลดรูปภาพส่วนตัวได้อีกด้วย และในหน้าประวัติของสมาชิก ก็สามารถให้ผู้อื่นมาเีขียนคอมเม้นต์ (comment) ไว้ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ สมาชิก hi5 ยังสามารถสร้างอัลบั้มรูปภาพส่วนตัว หรือแม้กระทั่ง ใส่ตัวเล่นเพลงในหน้าประวัติของตนเองด้วย สิ่งที่โดดเด่นที่สุดใน hi5 เห็นจะเป็นเรื่องการขอเป็นเพื่อน ผ่านทางระบบอีเมล์ ไปหาสมาชิกคนอื่น ๆ นั่นเอง และเมื่อเพื่อนคนอื่น ๆ ได้รับการขอเป็นเพื่อน ก็สามารถที่จะตอบรับ หรือปฎิเสธ หรือแม้กระทั่งปิดกั้น ไม่ให้เพื่อนคนนั้นเห็นเราก็ได้ ถ้าสมาชิกคนใด ตอบรับสมาชิกอื่นให้เป็นเพื่อนกันแล้ว ทั้งสองคนจะเป็นเพื่อนกันแบบตรง ๆ เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนกันระดับแรก (1st degree) สมาชิกทั้งสองฝ่าย ก็จะแสดงหน้าประวัติของเพื่อนของตนเอง ในหน้าประวัติของตนได้ครับ

สมาชิกบางคน อาจจะเลือกที่จะไม่แสดงประวัติ ให้สมาชิกคนอื่นเห็นก็ได้ บางคนอาจ จะอนุญาตให้สมาชิก ที่ตนได้ตอบรับเป็นเพื่อนแล้ว เห็นประวัติของตนได้เช่นกัน

ที่มา : เก่งดอทคอม


เมื่อคุณทำโครงการใด ๆ ที่ต้องการใช้ Blog มาทำการตลาด แล้วไม่อยากให้พลาด ผมมีคำแนะนำง่าย ๆ เรียกว่าเล่าให้ฟังกันดีกว่า เกี่ยวกับปัจจัยต่าง ๆ ที่ต้องคำนึงถึง ก่อนที่คุณจะทำ Blog Marketing (เอาไปประยุกต์ใช้กับ blog ส่วนตัวก็ได้นะครับ)

1. เนื้อหาใน Blog
สิ่งแรกที่จำเป็นต้องคำนึงถึง เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ของ blog ก็ว่าได้ เพราะเนื้อหา หรือบทความใน blog นั้นจะเป็นตัวดึงดูด ให้กลุ่มเป้าหมาย มุ่งหน้ามาที่ Blog ของเรา ลองเขียนเนื้อหา ที่ไม่สามารถหาอ่านได้จากที่ไหน เช่นการเขียนบทความ ที่เติมความคิดเห็นส่วนตัว ของเราไว้ด้วยไงครับ และอย่ากลัว ที่จะเขียนบทความแสดงความคิดเห็น ที่ผู้อ่าน หรือคนอื่น ๆ จะไม่เห็นด้วย เพราะเสน่ห์ของ blog ก็อยู่ที่ความคิดเห็นส่วนตัว ของคนเีขียน blog นั่นแหละครับ

2. ความถี่ในการอัพเดท
สิ่งสำคัญในการสร้างให้ blog ของเรามีผู้คนกลับมาเยี่ยมชม ซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็คือการอัพเดท blog อย่างสม่ำเสมอ หลาย ๆ blog ที่อัพเดทวันละหลายครั้ง มีคนเข้ามาชมกันอย่างล้นหลาม ตัวอย่างเช่น blognone.com นั่นปะไร อัพเดทวันละประมาณ 10 บทความ คนเข้าวันละประมาณ 7,000 คนต่อวันแล้ว ดังนั้น ก่อนคิดสร้างแคมเปญที่จะใช้ blog marketing ให้คำนึงถึงจุดนี้ เพราะมันหมายถึง คุณต้องเตรียม blogger ให้เพียงพอสำหรับการอัพเดท ตามกำหนดของแคมเปญที่ตั้งไว้ สำหรับคนที่ต้องการทำ blog marketing แล้วบอกว่า จะอัพเดท blog สัปดาห์ละ 1 ครั้ง ผมคิดว่ามันน้อยไปหน่อย จะสร้าง traffic คนเข้า blog ได้ลำบากครับ

3. การเผยแพร่ blog ให้เป็นที่รู้จัก
blog เปิดมาใหม่ คนรู้จักก็ยาก ดังนั้น ต้องคำนึงถึงสถานที่ ที่เราจะไปโปรโมท blog ของเราไว้ให้ดี เช่น blog ของเรา มักจะมีระบบ rss feed อยู่ด้วยแล้ว ดังนั้นเราก็สามารถไปโปรโมทไว้ที่ blog search engine , blog directory หรือพวก rss directory เป็นต้น กลุ่ม search engine เหล่านี้ มักจะรับเฉพาะ blog เท่านั้น เว็บไซต์ปกติ ไม่สามารถ add เข้าไปได้ ดังนั้น ลองมองหา search engine กลุ่มนี้ให้ดีครับ นอกเหนือจากนี้ ยังมี Traditional Search Engine หรือ search engine แบบดั้งเดิม เช่น google, yahoo, msn เป็นต้น เพราะ blog ของเรา ก็เป็นเว็บไซต์ประเภทหนึ่งเหมือนกัน ดังนั้น เรา add เข้าได้ทุก search engine อย่างนี้เรียกว่า ได้ทั้งขึ้นทั้งล่องเลยครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


คำว่า Viral Marketing ได้โผล่มาให้เราได้ยินบ่อยครั้ง ในระยะหลัง เราลองมา ทำความรู้จักกับ คำว่า Viral Marketing กันดีกว่า

Viral Marketing หรือที่เรามักจะรู้จักกันเป็นภาษาไทย ในชื่อ การตลาดแบบไวรัส คือเทคนิคทางการตลาดอย่างหนึ่ง ที่ใช้ Social Network ที่มีอยู่ก่อนแล้ว มาเสริมสร้าง ให้เกิดการพบเห็นตราสินค้า (ฺBrand Awareness) หรือทำเพื่อวัตถุประสงค์อื่น ๆ ทางการตลาด โดยลักษณะการกระจายข่าวสาร ในแบบ Viral Marketing จะเป็นลักษณะเหมือนการบอกแบบปากต่อปาก เพียงแต่ว่าในยุคนี้ สื่ออินเตอร์เน็ต เอื้อให้การตลาดแบบไวรัส กระจายตัวได้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก

Viral Marketing นั้นมีพลัง มีน้ำหนักในการสร้างความเชื่อถือ มากกว่าโฆษณาแบบอื่น ๆ เพราะว่ามีการยืนยันโดยเพื่อน ๆ ของผู้รับเอง เพราะมักจะเป็นการส่งต่อ หรือบอกต่อ โดยใ้ช้อีเมล์ การไป post ไว้ใน blog หรือ Social Network ของตนเอง พอเพื่อนมาเห็น ก็ค่อนข้างจะยินยอมที่จะดู อ่าน หรือฟัง ข้อความหรือข่าวสารนั้นนั่นเอง

Viral Marketing ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ช่องทาง ทางอินเตอร์เน็ตเท่านั้น ยังสามารถเผยแพร่กระจายไปตามสื่อ Traditional Media เช่นทีวี วิทยุ หนังสือพิมพ์ ได้เ่ช่นกัน

ตัวอย่างเช่น กรณีเพลง ผีกาก้า ที่มีผู้เผยแพร่ให้ฟังและดาวน์โหลดกันจากเว็บไซต์ แต่สุดท้ายดังไปทั่วประเทศ เพราะผู้สื่อข่าว ทำไปพูดถึง และนำเสนอผ่าน โทรทัศน์ วิทยุ และหนังสือพิมพ์เป็นต้น ผลสุดท้าย เพลงผีกาก้า ได้รู้จักกันไปทั่วประเทศ และคนแต่งเพลงผีกาก้า ก็ได้ทำ CD มาออกขายผ่านทาง เซเว่น-อีเลเว่น

ที่มา : เก่งดอทคอม


เคยสังเกตไหมครับ ว่าเวลาเราฟังวิทยุ แต่ละคลื่น ทำไมเรารู้สึกว่าฟังแล้วแตกต่างกัน ทำไมฟังแล้วเรารู้สึกได้ว่า คลื่นนี้เป็นเพลงไทยอย่างเดียว ทำไมคลื่นนี้เป็นเพลงไทยปนฝรั่ง คลื่นนี้เป็นเพลงฝรั่งล้วน ๆ

สิ่งเหล่านี้ ล้วนเป็นการกำหนดทิศทาง ของเนื้อหารายการวิทยุของแต่ละคลื่นนั่นเอง จากประสบการณ์ที่ผมเคยทำงาน ในสถานีวิทยุแห่งหนึ่ง ผมก็พอจะได้ความรู้มาว่า การที่เค้าจะกำหนดกลุ่มผู้ฟังเป้าหมาย ก็ต้องมีการกำหนดทิศทาง และเนื้อหารายการต่าง ๆ ให้ชัดเจน เช่น รายการวิทยุที่เปิดเพลงไทย และเพลงสากลแห่งหนึ่ง อาจจะกำหนดว่า ให้ดีเจเปิดเพลงไทย 50% และเปิดเพลงสากลอีก 50% เป็นต้น จะทำให้รายการดูเป็นเพลงไทยครึ่งนึง และเพลงสากลอีกครึ่งนึง บางรายการ เช่น กรีนเวฟ 106.5 FM ก็ดูแล้วเป็นรายการเพลงที่ฟังสบาย ๆ ลองนึกดูอีกที ก็พบว่า สถานีกรีนเวฟนี้ เปิดเพลงช้าเสียเป็นส่วนใหญ่ เห็นไหมครับว่า เค้าต้องมีการ กำหนดทิศทาง และเนื้อหาในรายการของตน

หันกลับมามอง blog ของเราบ้าง ทุกท่านเคยมีการกำหนดทิศทาง และเนื้อหาใน blog ตัวเองกันรึเปล่าครับ สิ่งเหล่านี้ จะช่วยให้เราได้ทิศทางที่ชัดเจน ทำให้ blog ของเรา ได้มีกลุ่มผู้อ่าน ที่ตรงตามที่เราต้องการ ยกตัวอย่างเช่น การที่ wittybuzz.blogspot.com เริ่มปรับตัว เพิ่มเนื้อหา ทางด้าน Online Marketing มากขึ้น แต่แน่นอนว่า ผมเองก็มีนโยบายที่ค่อนข้างชัดเจนในใจ ว่าเรื่อง Blog คือจุดที่ท่านผู้อ่าน สนใจที่จะได้ความรู้จาก wittybuzz.blogspot.com ไปมากที่สุด

และนอกเหนือจากการกำหนดประเภทของเนื้อหาแล้ว ยังมีการกำหนดประเภทของบทความอีก เช่นจะเขียนบทความที่เป็นข่าวสารกี่ % และเขียนบทความที่เป็นองค์ความรู้อีกกี่ % เป็นต้น

ลองไปกำหนดทิศทางเนื้อหาใน Blog ของตัวเองดูนะครับ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรา สามารถแก้ปัญหา การนึกมุกเขียนบทความไม่ออก ก็ได้ครับ ผมใช้ประจำ อิ อิ

ที่มา : เก่งดอทคอม


ช่วงนี้ชาว blog ต่างพากันตื่นเต้น กับแหล่งสร้างรายได้แห่งใหม่ ที่ชื่อ WidgetBucks ซึ่งเพิ่งเปิดตัวได้ไม่นาน แต่มีโปรโมชั่นแรง ๆ ก็คือ แค่สมัครเราก็ได้แล้ว 25 เหรียญ แถมรายได้จากคลิกยังค่อนข้างสูง ผมลองติดดูแล้ว แป๊บเดียวได้มา 3 คลิก ตกเฉลี่ยแล้วคลิกละ 43 เซ็นต์ เรียกได้ว่าเยอะทีเดียว

แต่ปัญหายังอยู่คู่ blog ไทยอยู่ดี ทั้ง ๆ ที่ตอนแรก สามารถรองรับเว็บและ blog ได้ทุกภาษา แต่พอสามสัปดาห์หลังจาก WidgetBucks เปิดตัว ก็ปรับเปลี่ยนนโยบาย ออกมาบอกว่า ตอนนี้ยังสนับสนุน หรืออนุญาตให้ติด WidgetBucks ในเว็บภาษาอังกฤษเท่านั้น เพราะต้องการที่จะให้เกิดการ convertion ที่สูง สำหรับผู้ที่มาลงโฆษณา ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสหรัฐฯ นั่นเอง

รูปแบบการสร้า้งรายได้ของ WidgetBucks นั้นมีอยู่สองรูปแบบคือ รายได้จาก Pay Per Click และรายได้จากการ Referrer แนะนำคนให้ไปสมัคร WidgetBucks นั่นเองครับ รูปแบบของโฆษณาที่ออกมา จะไม่เป็น text เหมือน Google Adsense แต่ว่าจะเป็นแถบป้าย เหมือนเป็น Widget นั่นเอง สีสันสวยงาม ปรับแต่งให้เข้ากับ Blog ได้ง่ายครับ

สำหรับเรื่องการชำระเงิน มีให้เลือกสองรูปแบบคือ จ่ายเป็นเช็คส่งมาที่บ้าน หรือจ่ายเข้า PayPal ซึ่งเรียกได้ว่า ค่อนข้างสะดวกทีเดียว ที่มี paypal ให้ครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


สำหรับตอนที่สองนี้ มาว่ากันด้วยเรื่องราวฮิตติดกระแสกันครับ บทความแนวนี้จะเขียนได้ไม่ยากครับ ลองมองหาข่าวดัง ๆ หรือเรื่องเด่นระดับ Talk of the Town มาเีขียนถึงดูครับ เรียกว่าเราเขียนเกาะกระแสความดังของข่าว หรือความน่าสนใจของบทความ หรือเรื่องราวต่าง ๆ ในเว็บดัง ๆ ที่จะเป็นกระแสอยู่ในช่วงนั้นครับ ตัวอย่างเช่น เรื่องเกี่ยวกับเพลง ผีกาก้า จะสังเกตเห็นได้ว่า ถ้าตอนนั้น ในช่วงที่ผีกาก้ากำลังฮิต ถ้าเราเขียน blog เกี่ยวกับเรื่องผีกาก้า ก็จะได้อานิสงค์ความดังของ ผีกาก้า ติดไปด้วย เพราะคนมักจะค้นหาจากเสิร์ชเอนจิ้นอยู่แล้ว blog ของเราก็อาจจะติดโผไปด้วยความ

สำหรับบทความแนวเรื่องฮิตติดกระแสนี้ เขียนได้บ่อยเหมือนกัน แต่อย่าบ่อยมาก เดี๋ยวคนอ่านจะเบื่อซะก่อน เรื่องแบบนี้ก็สามารถได้รับความนิยมได้ไม่ยาก แต่กระแสมันมา แล้วก็ไปครับ เพราะพอเรื่องนี้เลิกฮิต คนอ่านก็จะน้อยลงไปด้วย เรื่องแนวนี้เขียนได้ไม่ยากไม่ง่ายครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


ช่วงนี้มีเทคนิคการเขียนบทความ มาฝากกันครับ สำหรับการเลือกเขียนบทความ บางคนอาจสงสัยว่า เขียนบทความแนวไหน จะถูกใจคนอ่าน blog กัน ลองมาดูเทคนิคแรกกันครับ

แบบแรกผมขอเรียกมันว่า บทความแนวเจาะลึก แล้วกันนะครับ บทความแบบนี้มักจะได้รับความนิยม จากผู้อ่านในระดับสูง เรียกได้ว่าเป็นบทความแนวอมตะนิรันด์กาลครับ ตัวอย่างเช่น หากคุณมีความรู้เรื่องเลี้ยงสุนัข เราก็เขียนเรื่องเกี่ยวกับเทคนิคการดูแลสุนัข หรือเทคนิคการทำคลอดสุนัขเป็นต้น เรียกได้ว่า บทความแบบนี้ ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ และมีความเข้าใจในเรื่องราวที่เราเขียน ค่อนข้างสูง แต่รับรองว่า ผลที่ได้รับนั้นคุ้มค่าอย่างมากครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


ความสำเร็จของการทำ blog มันเกิดจากปัจจัยอะไรบ้าง สรุปสองข้อง่าย ๆ ออกมาดังนี้ครับ

1. เขียนในสิ่งที่เรารักและชอบ

ถ้าเราเขียนเรื่องที่เราชอบ จะทำให้เราสนุกที่จะค้นหาข้อมูลมาเขียน และเรื่องที่เราชอบนี้ เรามักจะเข้าใจ และรู้แจ้งเห็นจริง ถ้ามีคนมาถาม เราก็สามารถตอบได้อย่างดี ประเด็นของเรื่องที่เราชอบนี้ จะไปจุดให้เราเกิดกำลังใจในการทำข้อสองครับ

2. อัพเดทบล็อกให้บ่อย ๆ

บล็อกที่มีคนเข้าเยอะ ๆ มักจะเป็นบล็อกที่มีการอัพเดทบ่อย ๆ ยิ่งบ่อยมาก คนอ่านยิ่งมากครับ

หลักการง่าย ๆ สองข้อนี้ ถ้าเอาไปทำได้ รับรองว่าไม่เกิน 1 ปี บล็อกของคุณ จะมีคนอ่านเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจเลยล่ะครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


การที่เราจะมี link popularity เพิ่มขึ้น เพื่อหวังผลให้ search engine ค้นหาเจอ blog ของเราเป็นอันดับต้น ๆ นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก หากแต่ต้องเข้าใจมันบ้างว่า link ที่เราได้มา แบบไหนจะมีคุณภาพมากกว่ากัน คราวนี้เรามาดูกันว่า การที่เราจะได้ link จาก blog อื่นมาหา blog ของเรานั้น link แบบไหนจะเกิดประโยชน์กับเรามากกว่ากัน

Comment

เวลาเราไป comment ใน blog อื่น ๆ แล้วใส่ link มาหา blog ของเราเองนั้น บาง blog จะมีการใส่แท็ก no follow ซ่อนไปใน link นั้น ๆ โดยอัตโนมัติ โดยอาถรรพ์ของแท็ก no follow ก็คือ search engine ต่าง ๆ จะหยุดเก็บข้อมูล เมื่อมาเจอแท็ก no follow นี้ครับ ดังนั้น การโปรโมท blog ด้วยการไป comment ใน blog ต่าง ๆ นั้น จะได้ผลแค่ในส่วนที่ว่า เจ้าของ blog หรือคนอ่าน blog นั้น อาจจะรู้จัก blog เรามากขึ้น แต่จะไม่มีผลกับอันดับ link popularity ใน search engine ครับ

Trackback

คือ link ที่สร้างขึ้นโดยอัตโนมัติ (เฉพาะระบบ blog ที่รองรับ trackback เช่น wordpress , movabletype) เมื่อเวลาที่ blog อื่น ๆ ทำ link มาหาบทความใน blog ของเรา โดย link ของ trackback ก็จะมาโผล่ในส่วนเดียวกับ comment ของเรานั่นเอง ดังนั้นเมื่อมันมาโผล่ในส่วน comment ก็แปลว่า link นี้จะติดร่างแหของแท็ก no follow ไปด้วยนั่นเอง

Blogroll

คือรายชื่อ blog ต่างๆ ที่เจ้าของ blog ได้จัดเรียงไว้ ตามส่วนต่าง ๆ ของ blog เรียกได้ว่าคือการรวม link ของ blog ที่เจ้าของ blog ไปอ่านบ่อย ๆ นั่นเอง โดย link จากส่วน blogroll จะถือได้ว่ามีคุณค่าสูงสุด สำหรับ link popularity เพราะว่าเป็น link ที่ทำ link มาโดยตรงหา blog ของเราโดยไม่มีแท็ก no follow ครับ

ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ การเข้าไปอยู่ในรายชื่อ blogroll ของ blog คนอื่นนั่นเองครับ การจะเข้าไปอยู่ได้ ก็มีวิธีเดียวคือ เจ้าของ blog นั้น ๆ จะเป็นคนใส่ link ไปที่ blogroll ของตัวเองครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม



สำหรับหน่วยงานธุรกิจที่ยังลังเลว่าจะทำ blog ดีหรือไม่ วันนี้ผมมีข้อมูลเล็กน้อยมาให้ คนที่อยู่ในองค์กรธุรกิจต่าง ๆ ได้พิจารณาว่า ทำไมถึงไม่ควรมองข้ามการใช้ blog เพื่อองค์กรของคุณ เพราะในต่างประเทศ ธุรกิจต่าง ๆ ได้มีการเปิด blog ขององค์กรขึ้นมากันเยอะมาก อย่างเช่นบริษัทยักษ์ใหญ่ในในกลุ่ม Fortune 500 ก็มี blog กันแทบทั้งนั้น ผมมีเหตุผลมาให้ ว่าทำไมเราจึงควรใช้ blog กับองค์กรธุรกิจ

1. Blog เป็นเครื่องมือสื่อสารชนิดหนึ่ง

เราสามารถใช้ blog เป็นเครื่องมือสื่อสารทางการตลาดชนิดหนึ่ง โดยสามารถใช้ blog เพื่อสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย หรือกลุ่มลูกค้าของเราได้

2. Blog มีความ Interactive

blog เป็นการสื่อสารสองทาง ที่เราสามารถป้อนข่าวสารให้กลุ่มเป้าหมายได้ และคนอ่านก็สามารถใส่ comment เพื่อโต้ตอบกับผู้อ่านได้

3. Blog มีค่าใช้จ่ายต่ำ

การทำ blog เดี๋ยวนี้ ค่าใช้จ่ายไม่แพงแล้ว บางแห่งให้เราเขียน blog ได้ฟรี และถึงแม้เราอยากจะมีโดเมนเนม เป็นของตัวเอง และเช่า host เอง ก็ยังมี software สำหรับทำ blog ฟรีให้เราได้เลือกใช้ อย่างเช่น wordpress ไงครับ ดังนั้นการทำ blog มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าที่เราจะไปใช้สื่ออื่นครับ

4. Blog ใช้งานได้ง่าย

คนที่ใช้อีเมล์ได้ ก็สามารถเขียน blog ได้ นี่คือความง่ายของการทำ blog ในทุกวันนี้ และถึงแม้ว่าเจ้าหน้าที่จะไม่ค่อยเก่งคอมพิวเตอร์ ผมว่าใช้เวลาเรียนรู้แค่ 2-3 ชั่วโมง ก็ทำได้แล้วครับ

5. Blog มีความสดใหม่อยู่เสมอ

ด้วยความที่ Blog นั้นง่ายต่อการ update บทความ ทำให้การใส่บทความใหม่ ๆ เข้าไปนั้น ง่ายมาก ๆ นั่นคือสิ่งหนึ่งที่ทำให้ blog มีความสดและใหม่อยู่ตลอดเวลา เพราะคนดูแลสามารถใส่บทความได้ง่าย ลองนึกถึงว่า ปกติแล้วเว็บของบริษัท หรือองค์กรนั้น ข้อมูลจะค่อนข้างนิ่ง แต่หากเติม blog เข้าไปในเว็บขององค์กรแล้ว จะกลายเป็นว่า เว็บขององค์กร จะมีการ update อย่างสม่ำเสมอได้ง่าย นั่นจะทำให้ visitor มาเยี่ยมชมเว็บขององค์กร ได้บ่ายมากขึ้นด้วยครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม


การเขียน blog ไม่ใช่เรื่องยาก ใครที่เีขียนแล้วมีคนมาอ่านน้อย ๆ ลองมองดูแนวทางการเขียนที่ผมจะแนะนำต่อไปนี้นะครับ

1. เขียนบทความในแนวที่ไม่เป็นทางการ

โลกนี้มีข้อมูลแบบเป็นทางการการให้คุณอ่านเยอะแล้ว ทั้งจาก magazine หรือเว็บไซต์เป็นต้น แต่ผู้อ่านที่เข้ามาหาข้อมูลอ่านใน blog นั้น ส่วนใหญ่มุ่งที่จะได้อ่านบทความแบบที่อ่านง่าย ๆ ไม่ต้องเป็นทางการมากนัก ลองเขียนแนวนั้นกันดูครับ

2. เขียนบทความให้เหมือนเราคุยกันคนอ่าน

ง่าย ๆ ครับ ลองนึกถึงการเล่าเรื่องให้เพื่อน ๆ ฟังดูครับ เราก็เีขียนแนว ๆ นั้นออกมาเป็นตัวหนังสือ การเขียนแบบนี้ จะสร้างความเป็นกันเองให้คนอ่านได้ง่ายครับ และการเขียนออกมา ให้เหมือนเราเล่าเรื่องให้เพื่อนฟังนี้ จะแสดงความเป็นตัวตนของเราออกมา โดยอัตโนมัติครับ

3. เขียนบทความที่เป็นเรื่องจริง

อย่าได้คิดเขียนเรื่องโกหกเีชียวครับ เพราะหากเราเขียนเรื่องหลอกลวง ไม่นานพอคนอ่านรู้เข้า ก็จะไม่เชื่อถือบทความของเราอีก เป็นผลให้ blog ของคุณ ดับอวสานอย่างแท้จริง ผมอยากแนะนำให้เราเขียนแต่เรื่องจริงเท่านั้น (ยกเว้นบทความพวก เรื่องแต่ง เป็นต้น)

สามข้อง่าย ๆ นี้ ผมว่าน่าจะเอาไปลองปรับใช้กันดูได้ไม่ยากนะครับ

ที่มา : เก่งดอทคอม

Newer Posts Older Posts Home