A Blogger by Beamcool

บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ การตลาด seo และ วิธีการ หาเงิน บน อินเตอร์เน็ต เทคนิคในการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต ( เราหมายถึงการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต จริง ๆ ที่ไม่ใช่การชวนเข้า mlm แต่อย่างใดครับ) รวมถึง บริการออนไลน์ ออฟไลน์ ต่าง ๆ ในเครือ Wittybuzz ไว้ด้วยกัน ใครที่เยี่ยมชมนี้ด้วย Internet Explorer แนะนำให้ดาวโหลด Firefox มาใช้จะดีกว่าครับ นอกจากลูกเล่นจะมีเยอะกว่า ยังมีเครื่องมือที่สนับสนุน SEO อีกด้วยครับ


หลายคนอาจจะเคยผ่านตามาบ้างนะครับสำหรับคำว่า Affiliate ถ้าถามถึงความหมาย ก็คงหมายถึง การรวมเข้าด้วยกัน เป็นเครือข่ายหรือเป็นพันธมิตรกันนั่นเอง แต่ถ้าพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวกับ การค้าขายบนอินเตอร์เน็ต (e-commerce)ก็คงจะหนีไม่พ้น Affiliate marketing ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหม่สำหรับประเทศไทย แต่ในเมืองนอกกำลังเป็นที่นิยมและทำเงินได้อย่างดีทีเดียว

ความหมายของ Affiliate marketing ในความคิดของผมก็คือการตลาดบนระบบเครือข่ายหรือบนโลก online นั่นเอง โดยบริษัทที่ทำธุรกิจบนอินเตอร์เน็ตไม่จำเป็นต้องโฆษณาสินค้าด้วยตัวเอง แต่จะเปิดโอกาสให้มีผู้ที่ทำการโฆษณาแทน โดยมีข้อตกลงที่บริษัทจ่ายเงินให้หากสามารถนำคนเข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์ หรือซื้อสินค้าต่างๆ และการที่จะแนะนำให้คนจำนวนมากแวะเข้ามาในเว็บไซต์ได้นั้น ปัจจุบันนี้จำเป็นต้องใช้ search engine (ที่ได้อธิบายไว้ในหัวข้อเกี่ยวกับ SEO)ในการสร้าง traffics และก็หนีไม่พ้นยักษ์ใหญ่อย่าง google และก็ทำให้ google มีช่องทางที่จะทำกำไรมหาศาลได้ จากระบบ Adsense และ Adwords ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างบริษัทกับผู้ที่โฆษณาแทน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในโลกของการตลาดออนไลน์ (Internet marketing)ย่อมมีทั้งปลาเล็กปลาใหญ่ ดังนั้นก็จะมีพวกตัวแทนรายใหญ่ (Affiliate Network) อย่างเช่น Commision Junction,Click Bank พวกนี้จะทำการรวบรวมบริษัทต่างๆที่ต้องการโฆษณาเอาไว้เป็นจำนวนมาก เพื่อให้บริการกับบรรดา นักโฆษณา web master หรือ blogger ทั้งหลายได้ใช้บริการอย่างสะดวก และไม่ต้องไปสมัครกับผู้ให้บริการด้วยตัวเองครับ

ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต


ตอนนี้กระแสการเลียนแบบเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Digg นั้นมาแรงมากครับไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเราที่ทะยอย กันเปิดตัวออกมาเรื่อยๆ ผมขอเรียกว่าเป็นเว็บไซต์ประเภท "จับฉ่าย" ก็แล้วกันเพราะเป็นลักษณะของการเปิดให้ส่งเรื่องหรือบทความต่างๆ ในเนื้อหาที่มากมายหลากหลายประเภท หรือบางเว็บไซต์อาจจะเน้นไปในลักษณะเรื่องเดียวเป็นหลักก็แล้วแต่ concept ลองมาดูวิธีการทำ Digg Cloneโดยใช้ open source หรือ services กันเลยครับ



1. Blinkk - รูปร่างหน้าตาจะออกมาในรูปของ Digg+ del.icio.us +Forum รองรับในส่วนของ links, images, audio, video, user editorials, daily columns, commenting, tagging and feedback



2. coRank - เป็นการเปิดให้บริการอย่างง่ายด้วยการออกแบบหน้าตาของเว็บเพจ ให้เหมือน Digg โดยไม่ต้องมีเว็บไซต์ เพียงแค่เข้าสมัครสมาชิกและใช้งานได้เลย พูดง่ายๆก็คือลักษณะของการให้บริการบล๊อกฟรีนั่นเองครับ



3. Drupal Vote up/down Package - สำหรับใครที่ใช้สุดยอด CMS อย่าง Drupal ก็มีให้บริการในส่วนของ module ชื่อ Voting API, Voting Actions และ CRE recommendation หรือไปดูคำแนะนำได้ที่ Drigg แต่สามารถใช้ได้เฉพาะ version 5.xxx เท่านั้น



4. PHPDug- เป็น open source อีกตัวที่มีการติดตั้งและใช้งานง่าย มีทั้งระบบแนะนำในการติดตั้ง ระบบความปลอดภัย รวมถึงเลือกเปลี่ยน templetes และอื่นๆอีกมากมาย



5. Pligg - เป็น CMS open source ที่เป็นที่นิยมในบ้านเราค่อนข้างเยอะ มีฟังก์ชันครบถ้วน น่าใช้มาก



6. Upwarded - เป็น open source ใช้ทำ Digg clone อย่างง่ายๆ แต่การพัฒนาเวอร์ชันใหม่ๆ ค่อนข้างช้า



7. WordPress Vote It Up - สำหรับ Wordpress ซึ่งเป็น blog CMS ยอดนิยมก็มีให้บริการในส่วนของการ Vote ให้คะแนนเหมือนกัน

ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต


ในการหาเงินออนไลน์มีหลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Contextual Ads เช่น Google adsense หรือระบบ Affiliate เช่น Amezon และที่กำลังเป็นที่นิยมกันอยู่ในตอนนี้และตื่นตัวกันในบ้านเราก็คงจะหนีไม่ พ้นเจ้า adsense+amezon ครับที่จริงๆแล้วยังมีอีกหลายตัวแต่มันยังไม่เป็นที่นิยมและผู้เขียนเองก็ ยังไม่ได้ลองอย่างของค่าย Yahoo นั่นเอง ที่ผมพูดถึงเจ้า 2 ตัวนี่ก็เพราะว่าสามารถทำเงินได้จริงๆ และผมก็ทำอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะได้เงินมาง่ายๆต้องอาศัยกำลังภายใน ประสบการณ์ เทคนิค อยู่บ้างพอสมควร ผมเห็นผู้ที่เริ่มทำใหม่ๆ พอไม่เห็นผลก็เลิกหรือปล่อยทิ้งไปเลย ก็เลยนำเอาเทคนิคที่ผมเคยทำแล้วได้ผลมาฝากกัน หวังว่าคงพอจะเป็นแนวทางสำหรับผู้ที่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง

Concept : Blog + Adsense +SEO +Community+learning

1. เขียน blog หรือ website ก็ได้ครับตามใจชอบแต่ถ้าเป็น blog ก็ไม่ต้องลงทุนมากเพราะมีบริการฟรีอยู่แล้ว จากนั้นก็วางกรอบ หรือเนื้อหาที่จะใส่เข้าไป ถ้าทำ adsense ก็ต้องมีเนื้อหาภาษาอังกฤษเพราะมันยังไม่รองรับภาษาไทย แต่ตอนนี้ที่ผมเห็นก็มีโฆษณาภาษาไทยเกิดขึ้นมาค่อนข้างเยอะ คงเป็นเพราะว่ามีนักโฆษณาทำ Adwords กันมากขึ้นและกระแส Internet marketing กำลังมาแรงในบ้านเรา (ย้ำนะครับว่าในตอนสมัคร adsense เนื้อหาควรเป็นภาษาอังกฤษ แต่เราสามารถนำ รหัส ID ที่ได้ไปใช้ในเว็บไซต์ภาษาไทยได้ครับ ส่วนเทคนิคต่างๆเกี่ยวกับ Adsense ก็ไปดูได้ที่หมวดหมู่เรื่อง Google Adsense ครับ)

2. เมื่อสร้าง blog หรือ website เสร็จแล้วก็ไม่ต้องรีบร้อนนะครับใจเย็นๆ บางคนพอสร้างบล๊อค เสร็จก็ใส่ adsense เข้าไปทันที ปรากฏว่ามันโชว์ขึ้นเป็น โฆษณาเพื่อการกุศล นั่นเป็นเพราะว่า google ยังไม่รู้จัก blog ของเราดังนั้น อันดับแรกควรจะต้องทำ SEO ก่อนเริ่มด้วยการ submit url เพื่อให้บรรดา search engine ต่างๆได้รู้จักและมาเก็บเนื้อหาใน blog ของเราซะก่อน รอซักประมาณหนึ่งสัปดาห์ แล้วค่อยลองติด adsene ดูครับ

3. ทำ seo ด้วยเทคนิคอื่นๆ เช่น post ในเว็บบอร์ด หรือ บล๊อกต่างๆ แต่ถ้าจะใช้ email marketing ก็ต้องระวังหน่อยนะครับเพราะ พรบ.คอมฯฉบับล่าสุด ระบุว่ามีความผิดซะด้วยสิ

4. อัพเดทเนื้อหาใน blog อย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรมุ่งเน้นเพื่อที่จะให้ผู้ชมคลิ๊กโฆษณาเพียงอย่างเดียว

5. ใช้ Community ให้เป็นประโยชน์เช่น hi5,myBloglog,Digg,technorati,facebook,flixya

6. วิเคราะห์ traffic ของ blog ด้วยเครื่องมือเช็คสถิติ เช่น histats,feedburner,Google Analytics,Mybloglog หรือเครื่องมือที่ถนัด

7. วาง Adsense ให้เหมาะสมกันเนื้อหา และไม่ควรดูแล้วเลอะหรือรก จนเกินไป

ตัวอย่างการทำ blogger เช่นที่เว็บ http://wittybuzz.blogspot.com/ แห่งนี้แหละครับ
หวังว่าเทคนิคทั้ง 7 ข้อนี้คงพอจะเป็นแนวทางเบื้องต้นสำหรับผู้ที่คิดจะเริ่ม make money online ได้บ้างนะครับ

ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต


ช่วงนี้มีคนถามผมเกี่ยวกับการทำ SEO กับ bing เยอะเหลือเกินครับ สงสัยว่าจะเบื่ออาร์ตตัวแม่อย่าง Google กันเต็มทน 5 5 5

ที่ จริง Bing เองก็น่าสนใจไม่น้อยครับ คิดว่าเพื่อนๆคงจะทราบกันดีอยู่แล้วว่า Yahoo กำลังจะใช้ Engine ของ Bing ในการแสดงผลการค้นหา ( MSN ใช้ไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว ) ....

ซึ่ง นั่นก็หมายความว่า Bing จะมี market share ในสงคราม search engine ของโลก ประมาณเฉียดๆ 30% ทีเดียว ( พี่ Google ซัดไปซ่ะ 70% )

งานนี้ผมเชื่อว่า Google คงต้องแอบหวาดๆอยู่บ้างแหละ ถึงแม้ว่าตัวเองจะถือไพ่เหนือกว่าอยู่หลายขุม .......

แต่ ยังไงก็ดี ส่วนตัวผมแล้ว เวลาผมทำ SEO ผมก็ยังเน้นไปที่ Google อยู่ดีครับ เพราะว่ามันให้ traffic เยอะกว่าค่อนข้างมาก ถ้ามีเวลาเท่าๆกัน เอาเวลาไปทุ่มเทใส่ในสิ่งที่ให้ผลลัพท์สูงสุด ผมคิดว่าน่าจะเป็นไอเดียที่ดีกว่าครับ

แต่ในเมื่อมีคำถาม ถามเข้ามาบ่อยๆแบบนี้ ถ้าผมจะไม่สนใจ ไม่ update ค้นคว้าอะไรก็คงจะไม่ได้ พอดีวันนี้พอจะมีเวลา เลยลองทำ research เกี่ยวกับ bing ดูสักหน่อย ก็มาเจอ link อันนี้เลยครับ

http://www.bing.com/community/...inks-work-for-you-sem-101.aspx

ข้อมูลของ bing เองเลย ถือว่าเชื่อถือได้พอสมควร

ผมเองขี้เกียจแปลให้เพื่อนๆฟังแบบเป่ะๆน่ะครับ คงต้องพยายามเปลกันเอง หรือ ไม่ก็รอเพื่อนๆใจดี รูปหล่อ แฟนสวย ด้านล่างมาแปลให้ ยิ้มเท่ห์

แต่สรุปใจความสำคัญก็ได้ประมาณนี้ครับ

1) Bing แนะนำให้ใช้ 301 redirect ทุกๆหน้าที่เข้าหน้า home ได้ ให้เข้าไปที่หน้า home เพียงอันเดียว
2) Bing แนะนำให้ใช้ absolute links
3) ใช้ URL syntax ให้ถูกต้อง
4) ใช้ Anchor Text Title ( อันนี้น่าสนใจดีครับ ) ยกตัวอย่างเช่น

Keyword or phrase about the content of the linked page

5) Bing สามารถ crawl URL แบบ dynamic ที่มีตัวแปรมากกว่า 30 ค่า !!!

ผม อ่านแล้วแอบตกกะใจ สงสัยว่าตรงนี้จะเอามาเป็นไม้ตายสู้กับ Google รึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะรู้สึกว่า Google จะ crawl ได้แค่ 3-4 ตัวเท่านั้น

แต่ ให้ระวังเรื่องของการที่ตัวแปรสลับตำแหน่งกัน แต่ยังสามารถเข้าหน้าเพจนั้นๆได้เหมือนกัน โดยมี content เหมือนกันน่ะครับ ...... ถ้าเป็นแบบนี้ Bing มันจะมองเป็นคนละหน้ากัน ถึงจริงๆมันจะหน้าเดียวกันก็เถอะ ซึ่งทำให้มีโอกาสเกิดปัญหาขึ้น หรือ อาจจะทำให้ไม่สามารถทำอันดับได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น

6) Bing แนะนำใช้ canonical URL ( สำหรับหน้าด้านใน ที่สามารถเข้าถึงได้หลาย URLs )

< link rel="canonical" href="http://www.mysite.com/products.aspx?item=doodad />

7) หลีกเลี่ยงการใช้ session IDs หรือ cookies

8 ) ทุกๆหน้าในเว็บ ต้องมี link ภายในเชื่อมเข้าหา อย่างน้อย 1 link

9) อย่ามี link ออกเยอะเกินจากหน้าเพจนั้นๆ

10) ใช้ rel=”nofollow” กับ link ที่ไม่ได้ต้องการให้ความสำคัญ

จบแล้วครับ สรุปแบบสั้นจุ๊ด ......

ถ้าใครสนใจอยากปรับแต่งเว็บให้เข้ากับ bing เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเข้ามา ก็ลองดูได้เลยน่ะครับ

ที่มา : ไทยเอสอีโอบอร์ดดอทคอม


เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ที่เป็น Adsense publisher คงจะได้รับการแจ้งข่าวทางจดหมายแล้วว่า จะมีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงระบบโฆษณาใหม่ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของระบบ Google Adwords

โดยจะให้ผู้ที่เป็นตัวแทนโฆษณา หรือ Advertiser นั้นสามารถกำหนดและควบคุมการแสดงโฆษณาไปยังเป้าหมายของบล๊อคหรือเว็บไซต์ ต่างๆได้ และสิ่งที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ก็คือระบบ Ad planner(ยังอยู่ในช่วงทดสอบ) ที่จะทำให้ผู้ที่เป็นตัวแทนโฆษณา หรือ Adwards นั้นสามารถค้นหาเว็บไซต์ หรือบล๊อคที่ต้องการได้และสามารถควบคุมการแสดงโฆษณาทั้งในส่วนของ keywords ที่เกี่ยวข้องและตำแหน่งที่ต้องการให้โฆษณาวางเอาไว้

แต่สำหรับ publisher ทั้งหลายก็ไม่ต้องตกใจนะครับ เพราะไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรเลย เพียงแต่มีข้อดีสำหรับเหล่า blogger ที่จะได้เปรียบบรรดาเว็บไซต์ต่างๆในการเข้าถึงและดึงดูดความสนใจกับ Advertiser มากกว่าเว็บไซต์ที่รวมมีเรื่องหัวข้อที่ต่างกันมากๆนั่นเอง นี่ก็นับว่าเป็นข่าวดีสำหรับนักทำ Adwords เลยที่เดียวที่ Google พยายามที่จะแก้ไขข้อบกพร่องในการแสดงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่ผู้ลง โฆษณาต้องการครับ

ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต


MySpace ได้ประกาศข้อตกลงที่จะซื้อ iLike, ซึ่งเป็นผู้นำสังคมเพลงออนไลน์ขณะนี้. "การควบรวมกิจการครั้งนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี วิสัยทัศน์ เพื่อพัฒนา Social ให้ดีขึ้นและมีคุณภาพ การได้ iLike มาถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เรากำลังจะพัฒนาและเพิ่มประสบการณ์ด้านเพลงในสังคม ออนไลน์ ต่อไปในอนาคต"

Owen Van Natta ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท MySpaceกล่าวว่า "เรามุ่งมั่นที่จะแข่งขันอย่างจังที่จะเป็นผู้นำระดับโลกด้าน Social และการควบรวมรครั้งนี้ก็ถือเป็นจุดสำคัญในการบรรลุเป้าหมาย"

พี่น้อง Ali และ Hadi Partovi ก่อตั้ง iLike ใน 2006 และภายในระยะเวลาเพียงสองปีก็ก้าวกระโดดขึ้นมาเป็นผู้นำด้านสังคมเพลง social music อย่างรวดเร็วด้วยยอดของผู้ใช้กว่า 55 ล้านคนและมี การเข้าชมถึง 1.5 พันล้านครั้งต่อเดือน

โดยที่ทีมของ iLike จะอยู่ครบถ้วนรวมทั้ง, ประธานบริหาร Ali Partovi, ประธาน Hadi Partovi และ CTO Nat Brown. ทั้งสามเป็นผู้ช่ำชองและมีประสบการณ์สูง ในตำแหน่งผู้บริหารทั้งเกี่ยวกับต้นเครื่องสำรองไฟและฟอร์จูน กว่า100 บริษัท

การผสมผสาน platform ในครั้งนี้นับเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นแห่งวงการด้าน social network และจะสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้นมาได้ แต่จำนวนเงินที่ควบรวมกิจการในครั้งนี้ไม่ได้รับการถูกเปิดเผย

ที่มา : รีทไรท์เวปดอทคอม


1. ห้ามทำการดัดแปลง Code อย่างเด็ดขาด โดยต้นฉบับเป็นอย่างไรก็ให้ใส่เข้าไปใน website รูปแบบเดิม

2. ห้าม clickโฆษณาของตัวเอง หรือให้เพื่อน ๆ ช่วย click หรือร่วมกลุ่มผลัดกัน click

3. ห้าม เขียนคำโฆษณาเชิญชวนให้ click หรือเขียนข้อความหลอกให้มีการ click เช่น "ช่วยclick เพื่อสนับสนุเว็บเรา" ให้ใช้ได้แค่เพียง "sponsored links" หรือ "advertisements" เท่านั้น

4. เมื่อ clickโฆษณา Google AdSense แล้วจะต้องไม่เปิดหน้าใหม่ขึ้นมา (_blank)

5. ทำเนื้อหาเพียงเรื่องเดี่ยว แล้ว Copy ออกมาซ้ำกันเป็นหลาย ๆ หน้า

6. ห้าม วาง Google AdSense ในหน้าที่มีการ Download พวก MP3 , Clip Video , News Group ต่าง ๆ หรือหน้าเว็บเปล่า ๆ ที่ไม่มีเนื้อหาอะไรเลย

7. ห้ามวาง Google AdSense ไปใน Mail List ที่ส่งไปหาสมาชิกใน website

8. ห้ามวาง Google Adsense ในหน้าที่ทำขึ้นมาเพื่อ เฉพาะเจาะจงเที่จะให้แสดง Google Adsense

9. ห้ามวาง Google AdSense ที่ Pop Up ของ website ที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ

10. ห้ามใช้ Software เพื่อบังคับให้มีการ click โดยอัตโนมัติ

11. ห้ามใช้ Software เพื่อทำการโปรโมทเว็บไซต์ เช่น Web Promotor

12. เคารพ เครื่องหมายการค้าของ Google อย่าเอาแบนเนอร์ โลโก้ หรือชื่อ ของ Google มาใช้โดยเด็ดขาด

13. องค์ประกอบของ web page จะ ต้องไม่ไปปิดบัง Google AdSense และตัวอักษร จะต้องมองเห็นได้ชัดเจน

14. ถ้ามีอีเมล์ของ Google แ่จ้ง หรือเตือนอะไรมา บางอย่างในสิ่งที่คุณทำผิด ให้รีบตอบอีเมล์นั้นทันที

15. ห้ามวางรูปไว้ใกล้ Ads เพื่อหลอกให้ผู้เข้าชมเว็บหลง click คิดว่าเป็นเนื้อหาของรูปนั้น ๆ (อันนี้เป็นกฎใหม่ครับ)

16. เนื้อหาของ website จะต้องไม่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้
- เว็บที่ใช้ข้อความที่หยาบคาย
- เว็บที่เกี่ยวกับความรุนแรง, การเหยียดเชื้อชาติสีผิว, หรือการสนับสนุนการต่อต้านที่เป็นส่วน
ตัว, กลุ่ม หรือ องค์กรใด ๆ ก็ตาม
- เว็บเกี่ยวข้องกับยาเสพย์ติด หรือเครื่องมือต่าง ๆที่เกี่ยวกับยาเสพย์ติด
- เว็บโป๊, เวบเกี่ยวกับการพนัน, เว็บที่มุ่งเน้นการโฆษณามากเกินไปจนเกินงาม
- เว็บที่ละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น

17. เว็บไซต์ที่ทำ ต้องเป็นภาษาที่ Google สนับสนุนเท่านั้น (ตอนนี้ทาง Google ยังไม่มีการสนับสนุนเนื้อหาที่เป็นภาษาไทยดังนั้น ควรทำเว็บไซต์ให้มีเนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษไปก่อนครับ)

ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต


ในการสมัครให้ได้ Account ของ Google adsense ก็ไม่ยากครับ ลองมาดูขั้นตอนการสมัครซึ่งก็มีข้อจำกัดอยู่หลายอย่าง เช่น ตอนนี้ทาง google ยังไม่มีนโยบายรับเว็บไซต์ที่เป็นภาษาไทย เว็บไซต์ที่มีความสลับซับซ้อนหรือ graphics มากๆส่วนใหญ่จะไม่ผ่าน (ตอนนี้ก็รองรับภาษาไทยแล้วครับ หลังจากที่ทดลองมาตั้งแต่ปลายปี 2008)

สำหรับ web master หรือ blogger มือใหม่ ทั้งหลายที่ยังไม่อยากลงทุนมากนัก ก็สามารถใช้บริการของฟรีได้ที่ http://www.blogger.com ซึ่งเป็นบริการฟรีของ google โดยที่เราไม่ต้องไปจดโดเมนเนมในราคาปีละ 300-500 บาท ซึ่งแล้วแต่เราจะไปสมัครกับนายหน้า(reseller)บริษัทไหน และก็ไม่ต้องเสียค่าเช่า hosting อีกเป็นหลักพันบาทต่อปี หรือถ้าหากใครอยากได้โดเมนที่มีชื่อเป็น .com,.net,etc ก็สามารถไปเลือกจดได้ตามใจชอบครับ ส่วนชื่อโดเมนที่ได้จากเจ้า blogger นั้นจะเป็นนามสกุล .blogspot.com

ลองมาดู 3 ขั้นตอนสุดง่ายให้ได้บัญชีของ google adsense

1. สมัครใช้ฟรีบล๊อค

2. ลงมือเขียนเรื่องที่สนใจเป็นภาษาอังกฤษ

3. สมัครขอบัญชี google adsense

มาเริ่มสมัคร blogger กันเลยดีกว่าครับ หรือใครจะใช้ฟรีบล๊อคตัวอื่นก็ไม่ว่ากัน แต่ที่ผมเลือกใช้ blogger เพราะจะได้เครดิตจาก google และโอกาสที่จะสมัครได้บัญชี adsense ก็สูงไปด้วยนี่สิสำคัญเลยล่ะ

ในขั้นแรก...สำหรับผู้ที่มีบัญชีของ gmail อยู่แล้วสามารถ login เข้าไปใช้ blogger ได้ทันทีที่หน้าเว็บไซต์ http://www.blogger.com หรือจะสมัครขอบัญชีของ blogger เองก็ได้ครับ เมื่อได้บัญชีมาเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาที่จะลงมือเขียน blog กันซะที! ขั้นตอนการ create a blog หรือสร้างบล๊อค โดยคลิ๊กที่ tab create a blog จากนั้นก็ให้ใส่ชื่อ(blog title) และก็ blog address(url)

ในการตั้งชื่อ url นี้ถ้าจะให้ดีไม่ควรจะยาวเกินไปและสื่อความหมายที่สัมพันธ์กับเนื้อหาภายใน blogได้เป็นอย่างดี และก็ควรที่จะทำให้ blog มีเนื้อหาที่ดีและทุ่มเทอย่างเต็มที่ มันจะทำให้ blog ของคุณมีคนแวะเข้ามาเยี่ยมชมบ่อยๆ ส่วนการปรับแต่ง และใส่เนื้อหาเข้าไปใน blog ของเรา

ในช่วงแรกควรจะทำเนื้อหาที่เป็นภาษาอังกฤษ หรือถ้าหากจะให้มีภาษาไทยด้วย ก็ควรให้น้อยกว่าภาษาอังกฤษนะครับ เดี๋ยวผมจะอธิบายให้รู้ว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้ก็ทำภาษาอังกฤษไปก่อน โดยเฉพาะในหน้าแรก menu หรือ content ต่างๆควรเป็นภาษาอังกฤษให้หมดครับ ถ้าจะเอาให้ชัวร์ควรใส่อย่างน้อย 2-3 เรื่อง เมื่อใส่เนื้อหาเสร็จแล้วก็ขั้นตอนที่เราจะไปสมัครเพื่อขอบัญชี adsense จาก google Tips!

...สำหรับใครที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ ก็ลองไปเอาเนื้อหาจากเว็บไซต์ต่างๆประเทศมาใส่ไปก่อน แล้วค่อยปรับปรุงทีหลัง แต่อย่าไปลอกมาทั้งหมด และก็อย่าลืมทำ back link อ้างอิงกลับไปยังเว็บไซต์เพื่อมารยาทที่ดีด้วยนะครับ อันนี้สำคัญมากๆ

การสมัคร adsense โดยเข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ของ google adsense http://www.google.com/adsense จากนั้นเลือก click here to apply แล้วก็ใส่รายละเอียดข้อมูล

Website URL: [?] ใส่ชื่อเว็บไซต์ของคุณ ตัวอย่างเช่น http://siammoney.net/

Website language: เลือกภาษา ให้เลือกเป็นภาษา

English Account type: [?] เลือกประเภทของเว็บไซต์ ว่าเป็นเว็บส่วนตัว หรือเว็บเกี่ยวกับธุรกิจ

Country or territory: เลือกประเทศ ให้เลือกเป็นประเทศไทย

Payee name (full name): ใส่ชื่อผู้รับเงิน Tip!... ชื่อผู้รับเงินและประเทศ ไม่สามารถเปลี่ยนได้ในภายหลัง ควรเช็คให้ถูกต้องก่อน สมัครด้วยความระมัดระวัง และข้อมูลต้องกรอกเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด

Address line 1: , Address line 2 (optional): ใส่ที่อยู่

City: แขวง/ตำบล State, province or region:

จังหวัด Zip or postal code: รหัสไปรณีย์

Phone: เบอร์โทรศัพท์ เช่น 02-xxxxxxx ควรกรอก 662xxxxxxx หรือ 081-xxxxxxx ก็เป็น 6681xxxxxxx

Fax (optional): เบอร์ Fax Email

preference: ให้ใส่เครื่องหมายถูก ( Google จะส่งข้อมูลข่าวสารรวมถึงทิปต่าง ๆ มาให้ทาง mail)

Product(s): [?] ให้ใส่เครื่องหมายถูกทั้ง 2 ข้อ ทั้ง AdSense for Content และ AdSense for Search

Policies ให้ใส่เครื่องหมายถูกทั้งหมดเลยครับ อันนี้เป็นข้อตกลงของ Google เช่น จะไม่คลิกโฆษณาบนเว็บของตัวเอง หรือให้คนอื่นคลิก ,ไม่โฆษณาในเว็บที่ไม่เหมะสม ลามกอนาจาร เป็นต้น Email address: ใส่อีเมล์ของคุณ

เมื่อกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ครบแล้วให้ คลิ๊กที่ Submit Information จะไปที่หน้าแสดงข้อมูลที่เรากรอกไปแล้วและให้เราตรวจสอบให้แน่ใจว่าถูกต้อง โดยส่วนข้างล่าง จะให้เลือกวิธีการ login เข้า account โดยถ้าเลือกข้อแรกในกรณีที่เราใช้บริการในเครือ google เช่น Adwords,gmail,etc

ถ้าหากมี บัญชี gmail อยู่แล้ว จึงเลือกใช้ข้อนี้ หรือถ้าหากใครที่มี email อื่นและต้องการ password ใหม่ก็เลือกข้อสองครับ เมื่อเลือกเสร็จแล้วคลิ๊ก Contiune ถ้าหากว่าไม่มี errors ปรากฏก็เป็นอันว่าการสมัครเสร็จเรียบร้อยครับ หลังจากนั้นเข้าไปเช็คในอีเมล์ที่ได้สมัครไว้ เพื่อยืนยันหลังจากนั้นให้รอประมาณ 2-3 วัน เพื่อที่ Google จะตรวจสอบข้อมูล และจะส่งอีเมล์แจ้งกลับมาว่าสมัครผ่านหรือไม่ (ของผมรอประมาณ 1 วัน ก็ได้รับ email ยืนยันกลับมา)

เมื่อสมัครผ่านเรียบร้อยแล้ว ให้ทำการ Login เข้าไปที่หน้าเว็บไซต์ของ Google Adsense เมื่อเข้า Login คร้งแรกจะปรากฎหน้าอธิบายเกี่ยวกับข้อกำหนดของการใช้ Google AdSense ให้ คลิกยอมรับ ต่อจากนั้น ให้ยืนยันข้อมูลทางภาษี

- คลิกที่ หัวข้อ My Account

- คลิกหัวข้อย่อย Tax Information และให้ทำเครื่องหมายที่วงกลม เลือก No และ กดปุ่ม Continue - หน้าถัดมา Do you have U.S. Activities related to you participation in AdSense? ให้เลือก No และ กดปุ่ม Continue

- หน้าถัดมา ให้ใส่ชื่อ-นามสกุล เป็นภาษาอังกฤษ ใน Signature of Publisher และถือเป็นลายเซ้นต์ของคุณ จากนั้นก็กดปุ่ม Submit information เพียงเท่านี้ ก็ถือว่าได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาษีอย่างถูกต้องเรียบร้อยแล้ววิธีการเลือก รับเงินรายได้...

- คลิกที่ หัวข้อ My Account

- คลิกหัวข้อย่อย Payment History

- คลิกที่ Please select or verify a form of payment

- ให้ทำเครื่องหมาย ที่วงกลม : Check - Standard Delivery และ กดปุ่ม Continue

- ในหน้าถัดมา ให้เลือกสกุลเงินที่ต้องการ ให้เลือก Thai Baht (THB) และ กดปุ่ม Save change เราจะได้รับเงินเมื่อไหร่? Tip!... เมื่อเราสามารถทำรายได้จนยอดถึง $50 ทาง Google จะส่งจดหมายมาทางไปรษณีย์มาตามที่อยู่บ้านเลขที่ เพื่อยืนยันการมีตัวตน ในจดหมายจะมีรหัส Your PIN: เป็นตัวเลขจากนั้นกลับให้ไปที่เว็บไซต์ Google AdSense

- หลังจาก Login เข้าระบบจะเห็นข้อความ You payments are currently on hold. Action is required to release payment Click here for details ให้คลิกที่ Click here for details

- ที่ Required Action ให้คลิกที่ Please enter your PIN

- ใส่หมายเลข PIN ของคุณ แล้วคลิก Submit PIN ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยโรงเรียนไทยครับ หลังจากนั้นก็เขียนเรื่องและปรับปรุงเว็บไซต์ ให้ไปดูที่หมวดหมู่เรื่อง SEO ได้ครับเว็บไซต์ต้องห้ามสำหรับ Google adsense -ความรุนแรงต่อต้านบุคอื่นกลุ่มหรือองค์กร

-Hacking

-Spam Keyword

-เว็บไซต์การพนัน

-โฆษณาทำเพื่อโฆษณาเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีเนื้อหาอย่างอื่นเลย

-เนื้อหาที่ผิดกฎหมายละเมิดลิขสิทธิ์

-สิ่งกระตุ้นให้ผู้ใช้ บุคคลที่สามมาแสวงหาผลประโยชน์

-อาวุธสงคราม

-ขายเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล

-บุหรี่

-การปลอมแปลงสินค้า

-เว็บไซต์ที่โกหกหลอกหลวง

-เว็บไซต์เกี่ยวกับลามกอนาจาร ตัวอย่างเว็บไซต์การทำ Adsense จาก blogger http://wittybuzz.blogspot.com หวังว่าคงจะไม่ยาก น่าจะสมัครผ่านกันทุกคนนะครับ ติดตามกันต่อไปคราวหน้า กับเทคนิคทำ Adsense ให้สำเร็จด้วยประสบการณ์จริง ...โชคดีมีตังค์ครับผม

ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต


บางท่าน เห็นสินค้าหรือสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ทาง internet พอเวลาอยากซื้อ หรือใช้บริการ หรือทำธุรกรรมต่างๆกับสิ่งเหล่านั้น ไม่สามารถทำได้ เพราะไม่มีบัตรเครดิตและผู้ที่จะทำบัตรเครดิตได้ ยังจะต้องมีงานประจำทำ เงินเดือนก็ต้องได้ตามเกณฑ์ บางท่านไม่อยากทำบัตร เพราะกลัวมีบัตรแล้ว จะใช้จ่ายสบายจนเป็นหนี้ หรือบางท่านก็ทำธุรกิจส่วนตัว บางท่านก็ยังเรียนไม่จบเป็นนักศึกษาอยู่ บางท่านก็ตกงาน แต่ก็มีเงินใช้จากที่บ้าน ปัญหามากมายเกิดขึ้น

ปัญหาต่างๆเหล่านั้นได้หมดไปด้วยทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า ก็มีเงินน่ะ อยากใช้จ่ายทำธุรต่างๆนานา ทำไมจะต้องไปทำงานประจำ เงินเดือนสูงๆ เพื่อมีบัตรเครดิต หรือไปหาหนทางทำบัตรเครดิตด้วย

ทางเลือกที่ดีและสะดวก ขอแนะนำ บริการของธนาคาร กสิกรไทย (โดยส่วนตัวแล้ว ผมมีบัญชีธนาคารอยู่แล้ว 2 ธนาคาร ที่ไม่ใช่ของกสิกรไทย ..แต่ที่แนะนำกสิกรไทย เพราะเค้ามีเทคโนโลยีด้านนี้ ที่พัฒนาขึ้นมาอย่างดีเป็นที่ยอมรับ และได้รับความนิยมในสังคม internet ..และแน่นอน ผมก็ได้เปิดบัญชีธนาคารกสิกรไทย เพื่อทำบัตรเว็บการ์ด ใช้ทาง internet แทนเครดิตการ์ด และจะได้นำความรู้นี้มา แนะนำได้ เพื่อให้การทำงานทางเน็ต เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ)


การใช้จ่ายทั่วๆไป ไม่ใช่ทาง internet

..ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้ แต่เมื่อเปิดบัญชีแล้ว ส่วนใหญ่ก็ต้องทำ ATM เพื่อสะดวกเวลาถอนเงิน ..แต่ระหว่างบัตร ATM ธรรมดา ทำบัตรเดบิตดีกว่า ค่าธรรมเนียมไม่ต่างกันมาก

มาดูรายละเอียดกันครับ

บัตรเดบิตกสิกรไทย -- ทำความเข้าใจคร่าวๆ บัตรเดบิต คือบัตรที่สามารถใช้จ่ายได้ ในการซื้อสินค้าและบริการต่างๆ โดยเงินที่หักจากบัตรเดบิตก็คือเงินในบัญชีเรานั้นเอง ..เช่นเรามีในบัญชี 9000บาท เติมน้ำมันปั๊มเจ็ท 300 บาท ชำระโดยบัตร เงินก็จะถูกหักไป 300 บาท เงินในบัญชีก็จะเหลือ 8700 บาท และทันทีที่ใช้จ่ายเงิน ก็จะมีบริการฟรี ในการแจ้ง sms มาทางมือถือ บอกว่า เงินได้ถูกใช้ไปเท่าไหร่ เหลืออยู่เท่าไหร่แล้วด้วย

ลักษณะเด่น

ถอนเงินสดได้ทั่วโลกสูงสุดถึงวันละ 100,000 บาท ตลอด 24 ชั่วโมง ที่เครื่องเอทีเอ็มทั่วโลกที่มีเครื่องหมายวีซ่าอิเลคตรอน ชำระค่าสินค้าและบริการแทนเงินสดได้ถึงวันละ 100,000 บาท ที่ร้านค้าทั้งในและต่างประเทศที่มีเครื่องหมายวีซ่าอิเลคตรอน

การสมัครใช้บริการ
สมัครทำบัตรได้ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องเป็นสาขาที่มีบัญชีอยู่ เอกสารประกอบการใช้บริการ เอกสารประกอบการสมัคร บัตรประจำตัวประชาชน หรือบัตรประจำตัวอื่นๆ ที่มีรูป และออกโดยหน่วยงานราชการ สมุดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์

เงื่อนไขการใช้บริการ
อายุ 15 ปีขึ้นไป มีบัญชีออมทรัพย์ หรือ บัญชีกระแสรายวันที่เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา หรือบัญชีร่วมสองคนที่มีเงื่อนไข คนใดคนหนึ่งมีสิทธิ์ถอนเงินได้ หรือบัญชีร้านค้า ที่มีชื่อเจ้าของบัญชีคนเดียว อัตราค่าธรรมเนียม ค่าธรรมเนียมแรกเข้า 100 บาท ค่าธรรมเนียมรายปี 200 บาท ค่าธรรมเนียมการทำบัตรทดแทน 100 บาท

... สรุปง่ายๆ ถ้าอยากมีบัตรคือ ถ้ายังไม่มีบัญชีธนาคารของกสิกรไทย

... ก็ให้ถ่ายเอกสารบัตรประชาชนไป 1 ฉบับ เอาบัตรประชาชนตัวจริงไปด้วย แล้วก็พกเงินไป หลักฐานมีเท่านั้นครับ เอาเงินไปเปิดบัญชี (ไม่แน่ใจเค้ากำหนดขั้นต่ำการเปิดบัญชีเท่าไหร่ ถ้าเค้ากำหนดก็น่าจะเปิดขั้นต่ำ 500 บาท เพราะตอนผมไปเปิดบัญชี ผมเปิดมากกว่า 500 บาทเลยไม่แน่ใจ แต่ก็เหมือนเปิดบัญชีธนาคารทั่วๆไปครับ ไม่มีไรมากมาย)

... แล้วก็บอกเค้าว่า ไม่ทำบัตรเอทีเอ็ม จะทำบัตร เดบิตกสิกรไทย(ใช้แทน ATM ได้) ก็จะเสียค่า ออกบัตรใหม่ 100 บาท แล้วก็ค่าธรรมเนียมรายปี 200 บาท

... เท่านี้ครับ คุณก็จะได้บัตรเดบิตกสิกรไทยในวันนั้นเลย ...ใช้ได้เลย

ถ้ามีบัญชีธนาคารกสิกรไทยแล้ว ...ก็ไปธนาคารกสิกรไทยสาขาไหนก็ได้ที่ไม่ต้องตรงกับบัญชี ..พกบัตรประชาชนไป หรือใบขับขี่ก็ได้ ถ่ายสำเนาไปกันเสียเวลา เอาบัตรตัวจริงไปด้วย ..แล้วก็เอาบัญชีไปด้วย ..แล้วก็บอกเค้าขอทำบัตรเดบิตกสิกร เท่านั้นก็เสร็จ ถ้ามี ATM อยู่แล้ว ก็ขอเปลี่ยนจาก ATM มาเป็น บัตร เดบิตได้ อาจจะเสียค่าเปลี่ยน คิดว่าไม่น่าเกิน 100 บาท(....ความแตกต่างค่าบริการของบัตร ATM ทั่วไป ก็คือ ATM ทั่วไปค่าบริการรายปี 100 บาท บัตรเดบิตค่าบริการรายปี 200 บาท)

เป็นอันว่า ได้บัตรเดบิตตามต้องการ คราวนี้มาว่ากันถึง การใช้จ่ายทาง internet กัน ทาง internet ต้องใช้บัตรเว็บการ์ด web card หรือล่าสุด ธ.กสิกรไทย เรียกบัตรนี้ว่า บัตร K-Web Shopping Card

การจะทำบัตรเว็บการ์ด ไม่ต้องมีบัตรเดบิตก็ได้ 2 บัตรนี้แยกจากกัน ...


(จากรูปบัตรเว็บการ์ดจะอยู่ในหัวข้อ บริการอื่นๆ แต่ก่อนอื่นอ่านรายละเอียดด้านล่างก่อน จะได้เข้าใจขั้นตอนนะครับ)

บัตรเว็บการ์ด - เป็นบริการที่สามารถใช้จ่ายทาง internet ได้ และนี่คือหัวใจหลักของการมีบัตรเว็บการ์ด เพราะทางเน็ตมีสินค้าและบริการ และธุรกรรมต่างๆที่สามารถทำได้ถ้ามีบัตร เครดิตการ์ด

...และด้วยบัตรเว็บการ์ดนี่เอง ที่จะสามารถใช้จ่ายต่างๆได้ เหมือนมีบัตรเครดิต VISA

...ในการหาเงินทางเน็ต บางระบบ ต้องมีการยืนยันบัญชีโดยบัตรเครดิต บัตรเว็บการ์ดสามารถใช้แทนได้ บางระบบ จำเป็นต้องเสียค่าโฆษณา โดยใช้บัตรเครดิต บัตรเว็บการ์ดก็สามารถใช้แทนได้

...เรามาดูกันว่า จะมีบัตรเว็บการ์ดได้งัย

ก่อนจะทำบัตร เว็บการ์ดได้ต้องมีสิ่งเหล่านี้

1.มีบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ ของธนาคารกสิกรไทย

2. เป็นสมาชิก K-Cyber Banking ของธนาคารกสิกรไทย

..เรื่องบัญชีเงินฝาก ก็ตามที่แนะนำไว้ในขั้นต้น ใช้แค่บัตรประชาชน และเงินเปิดบัญชี ก็เรียบร้อย

...สำหรับการเป็นสมาชิก K-Cyber Banking

...สมัครที่กสิกรไทยสาขาไหนก็ได้ ใช้หลักฐานบัตรประชาชน แล้วก็สมุดบัญชี สมัครฟรีครับ แล้วก็ไม่มีค่าธรรมเนียมรายปี

...หลักจากยื่นใบสมัครแล้วใช้เวลาดำเนินการประมาณ 2-9 วัน
แต่ก่อนสมัคร เราต้องมี e-mail ด้วยนะครับ เพราะเค้าจะแจ้งรายการสมัคร รหัสต่างๆมาทาง e-mail ครับ

.... พอเราเป็นสมาชิก K-Cyber Banking แล้ว เราก็จะ login เข้าตรวจสอบยอดเงินทางเน็ตได้เลย และยังสามารถทำไรได้อีกมาก ซึ่งรายละเอียดผมจะแนะนำให้ดูในเว็บของกสิกรนะครับ

...พอเรา login ก็จะมีหัวข้อต่างๆ
ถ้าต้องการสมัครบัตร เว็บการ์ด เข้าหัวข้อ บริการอื่นๆ แล้วเข้าไปสมัครผ่านเว็บได้เลย
ไม่ต้องใช้หลักฐานอะไรครับ ใช้เวลาประมาณ 1-2 วัน
ค่าธรรมเนียม บัตรเว็บการ์ด 200 บาทต่อปี

....สำหรับการใช้จ่ายทาง internet หรือบริการต่างๆ ให้เลือกจ่ายโดย บัตรเครดิต VISA นะครับ เพราะบัตรเว็บการ์ด ใช้แทนบัตรเครดิต VISA ครับ

...การเปลี่ยนแปลงวงเงินในบัตรเว็บการ์ดเพื่อความปลอดภัย ให้ไปที่หัวข้อ ออมเงิน จะมีรายละเอียดบัญชี และเมนูการเปลี่ยนแปลงวงเงิน ให้เปลี่ยนแปลงให้เป็น 0 เลยนะครับ ..ทุกครั้งที่เราเข้าเปลี่ยนแปลงอะไร ก็จะมีให้กรอกรหัสลับซึ่งส่งเข้าทางมือถือ แล้วให้เราเอารหัสนั้น กรอกเข้าไปเปลี่ยนแปลง เป็นระบบความปลอดภัยที่ดีทีเดียว ...ที่ให้เปลี่ยนวงเงินเป็น 0 เพราะ เราจะเปลี่ยนแปลงวงเงินเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะฉะนั้น เราควรจะเปลี่ยนแปลงวงเงิน เป็น 0 ไว้ก่อน เมื่อจะใช้จ่ายโดยบัตรเว็บการ์ด ค่อยเปลี่ยนวงเงินให้ใช้ได้ตามจำนวนเงินที่เราจะใช้จ่าย ครับ

...ในกรณีที่เราเข้าเว็บไซ์ต่างๆ แล้วมีรายการหรือสินค้าให้ใช้จ่ายได้ด้วยบัตรเดบิต บัตรเดบิตนั้นสำหรับบัตรเดบิตของ อเมริกานะครับ บัตรเดบิตในไทย ใช้จ่ายทาง internet ไม่ได้ครับ

รายละเอียด การสมัคร ต่างๆ ของบัตรดูละเอียดได้ที่ เว็บกสิกรไทย นะครับ


แล้วคลิกดูรายละเอียดที่ * K-Web Shopping Card จะมีขั้นตอนการสมัครอย่างละเอียด (ความจริง เพื่อน ๆ จะเปิดเป็น K-web shopping เฉย ๆ ก็ได้น่ะครับ แต่โดยส่วนใหญ่ทางธนาคารมักจะให้สมัครบัตรด้วยเสมอแหละครับ)

อีกทางเลือก สำหรับ ผู้มีบัญชีธนาคารกรุงเทพ

บัตรของธนาคารกรุงเทพที่สามารถใช้จ่ายทางเน็ตได้ ที่ไม่ใช่บัตรเครดิต แต่เป็นบัตรลักษณะคล้ายบัตรเว็บการ์ด คือบัตร B-First ที่มีเลข CVV ด้วย ออกโดยสำนักงานใหญ่

....การขอทำบัตร สามารถติดต่อได้ที่ธนาคาร บอกว่าทำบัตร B-First ที่มีเลข CVV เพื่อใช้จ่ายทางเน็ต ...แต่ต้องรอหน่อย เพราะบัตรจะต้องให้สำนักงานใหญ่ เป็นผู้ออกบัตร

... แต่สำหรับธนาคารกรุงเทพ ยังพบปัญหา ไม่ละเอียดเท่าธนาคารกสิกรไทย
เช่น มีคนเคยใช้บัตร B-First ใช้จ่ายทางเน็ต ยอดเงินถูกหักไปแล้ว
แต่เจ้าของเว็บสินค้ายังไม่ได้รับการจ่าย พอไปถามหาหลักฐานที่ธนาคาร เพื่อจะไปยืนยันว่าหักจ่ายให้เจ้าของสินค้าไปแล้ว ธนาคารบอก ไม่ได้เก็บข้อมูลไว้ และสำหรับข้อมูลในบัญชี ที่หัก จะมีแต่ค่าเงินที่เป็นเงินไทย ไม่ได้เทียบเป็นเงิน US ให้

...ก็ลองพิจารณากันดูนะครับ ...ผมยังชอบระบบความปลอดภัย และความรอบคอบของธนาคารกสิกรไทยครับ

ข้อมูล paypal ในหน้านี้ถูกย้าย ไปยังที่เว็บไซต์ ladynaka.com แล้ว คลิ๊กที่นี่


คนไทยกับ Google แทบจะเรียกได้ว่ารู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะการใช้บริการ Search Engine ที่พอคิดอะไรไม่ออกก็เข้า Google ไว้ก่อน จากนั้นก็ Search แล้วข้อมูลก็จะปรากฏขึ้นมาให้เลือกเอง ข้อมูลจากเว็บไซต์ไหนที่ดูว่าน่าจะตรงกับความต้องการก็แค่คลิกเข้าไป

แต่สำหรับนักการตลาดแล้ว แน่นอนว่าคงจะต้องการเครื่องมือเพื่อช่วยในการทำตลาดด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการทำการตลาดกับ Google เอง เพื่อให้เว็บไซต์ของตัวเองทะยานขึ้นสู่อันดับต้นๆ จากการค้นหา ซึ่ง Tools ที่ทาง Google พัฒนาขึ้นมาเองนั้นจะสามารถช่วยให้คุณทำการตลาดได้ง่ายมากขึ้น

มาดูกันว่า Google Tools ที่น่าใช้และมีประโยชน์มีอะไรบ้าง

1. Google Analytics

Google Analytics คือ ตัวเก็บสถิติเกี่ยวกับผู้เข้าชมเว็บไซต์ พฤติกรรมของคนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ รวมทั้งติดตามประสิทธิภาพของแคมเปญการโฆษณา AdWords หรือโปรแกรมการโฆษณาอื่นๆ ด้วยข้อมูลนี้จะทราบว่าคีย์เวิร์ดใดที่ได้ผล ข้อความโฆษณาใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด และผู้เข้าชมเว็บไซต์ออกจากเว็บไซต์เพราะเหตุใดความสามารถหลักของ Google Analytics แบ่งความสามารถตามจุดประสงค์การใช้งาน ได้แก่ สถิติเกี่ยวกับ Visitor รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ที่เข้ามาชมเว็บไซต์ สถิติเกี่ยวกับ Traffic รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับช่องทางในการเข้าถึงเว็บไซต์ สถิติเกี่ยวกับ Content รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับสถิติการเข้าชมเนื้อหาภายในหน้าเว็บไซต์ และสถิติเกี่ยวกับ Goal วิเคราะห์ว่าผู้ใช้งานเข้าถึงเป้าหมายภายในเว็บไซต์ได้อย่างไรเครื่องมือตัว นี้จะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของเว็บไซต์ของคุณในทุกๆ วัน โดยจะวิเคราะห์ทั้ง Traffic ที่เกิดขึ้น คนที่เข้าเว็บไซต์มาจากไหน ประเทศอะไร และเข้ามาทำอะไรบ้างในเว็บไซต์ของคุณ โดยคุณสามารถ Monitor สถานการณ์ความเคลื่อนไหวภายในเว็บไซต์ของคุณได้ทั้งหมด

Google Analytics เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยวิเคราะห์ทิศทางการทำตลาดของคุณเองต่อ ไป ซึ่งจะทำให้คุณรู้ว่าอะไรที่เป็นที่นิยม อะไรที่คุณควรจะขาย กลุ่มเป้าหมายที่ให้ความสนใจของคุณเป็นใคร และถ้าจะขยายตลาดต่อไปนั้นควรจะไปทำตลาดในประเทศอะไรต่อไป โดยข้อมูลเหล่านี้ยังมีความจำเป็นสำหรับการเปลี่ยนแปลงระดับการลงทุนเพื่อทำ การโฆษณา รวมทั้งยังทำให้สามารถคิดอัตราการคืนทุนได้ง่ายขึ้น

2. Google Sitemaps

Google Sitemap หรือการทำแผนที่เว็บไซต์ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะทำให้คุณสามารถทำ SEO ได้ง่ายขึ้นแล้ว ยังจะส่งผลดีกับเว็บไซต์ของคุณในระยะยาวอีกด้วย โดยเครื่องมือตัวนี้มีประโยชน์สำหรับเว็บมาสเตอร์หรือนักการตลาดที่ต้องการ ให้ข้อมูลบนเว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบอย่างรวดเร็วGoogle Sitemap จะเป็นเหมือน ป้ายบอกทางให้กับ Googlebot เพื่อให้สามารถเก็บข้อมูลภายในเว็บไซต์ได้ง่ายขึ้นด้วยการไต่ไปตามโครงสร้าง และเนื้อหาของเว็บไซต์ ซึ่งข้อมูลที่ได้จะถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูลของ Google เมื่อมีการ Search หาข้อมูลใน Search Engine จะทำให้ข้อมูลในเว็บไซต์สามารถค้นพบได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ Google Sitemap ยังสามารถบอกได้ด้วยว่าเว็บไซต์ของเรามี Sites หรือ Webpages หน้าไหนที่ไม่ทำงานด้วย

วิธีการสร้าง Google Sitemap

1. เข้าไปที่ http://www.xml-sitemaps.com/ จากนั้น ใส่ URL ของเว็บไซต์ที่ต้องการสร้าง Google Sitemap ลงใน Starting URL เสร็จแล้วคลิก Start ระบบจะทำการสร้าง Sitemap ให้ จากนั้นจะปรากฏคำว่า Generated sitemap is ready ให้ไปคลิกที่ Download Un-compressed XML.sitemap และเซฟไว้ในไฟล์ที่ชื่อ sitemap.xml แล้วนำ File ที่ชื่อ sitemap.xml ไป Upload ขึ้นเว็บไซต์ของตัวเอง โดยให้อยู่ในระดับเท่ากับ index.html เช่น http://www.ecommerce-magazine.com/sitemap.xml/

2. ไปที่ http://www.google.com/webmaster/tools/ ใส่ URL ของเว็บไซต์ จากนั้นคลิกที่ เพิ่มไซต์

3. จะพบ Google my Site ให้คลิกที่ เพิ่ม ที่ช่องของ sitemap เพื่อเพิ่ม Sitemap

3.1 เลือก Add general web sitemap และกำหนดชื่อ My sitemap URL ตามตัวอย่างของ Google เช่น http://www.ecommerce-magazine.com/sitemap.xml เสร็จแล้วคลิก Add web sitemap ระบบจะขึ้น Pending รอการยืนยันเว็บไซต์ในขั้นตอนต่อไป

4. ทำการ ยืนยันเว็บไซต์ โดยคลิกที่ ยืนยัน ที่ช่องของ ยืนยันแล้วหรือยัง

4.1 เลือกยืนยันแบบ อัพโหลดไฟล์ HTML

4.2 จากนั้นระบบจะสร้างชื่อไฟล์ HTML ให้ จากนั้นให้เราสร้างไฟล์ HTML เปล่าๆ โดยตั้งชื่อไฟล์ชื่อเดียวกับไฟล์ HTML ที่ Google สร้างให้ จากนั้นทำการอัพโหลด ขึ้นเว็บไซต์ของตัวเอง โดยให้อยู่ในระดับเดียวกันกับ ไฟล์ index.html เช่น http://www.ecommerce-magazine.com/googlexxxxxxx.html

4.3 คลิกที่ ยืนยัน เพื่อทำการยืนยันเว็บไซต์ จากนั้นระบบจะอ่านเว็บไซต์ของเราและวินิจฉัยให้ด้วย เท่านี้ก็เรียบร้อย แต่ถ้าคุณมีการปรับปรุงเว็บไซต์มากๆ ควรที่จะมาสร้าง Sitemap ขึ้นมาใหม่

3. Google Alerts

การใช้ Google Alerts เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้คุณสามารถเก็บ Track ที่เกิดขึ้นกับคุณในทุกกิจกรรมบนโลกออนไลน์ อีกทั้งยังทำให้คุณสามารถ Monitor บริการและสินค้าที่ได้รับความสนใจบนออนไลน์ รวมทั้งยังทำให้ทราบอันดับเว็บไซต์ของคุณว่าก้าวถึงระดับต้นๆ ในแต่ละคีย์เวิร์ดได้หรือไม่อีกด้วย Google Alerts เป็นระบบการเตือนเมื่อมีใครหรือว่าเว็บไซต์อื่นได้อ้างอิงถึงเว็บไซต์หรือ ชื่อของคุณ หรือมีผลการค้นหาใหม่ตามคำค้นที่คุณระบุ ระบบจะส่งอีเมลมาให้อัตโนมัติ โดยปัจจุบันระบบ Google Alerts รองรับการค้นหาจาก ข่าว เว็บไซต์ บล็อก วิดีโอ และ Google Groups เช่น ถ้าเป็นบริการสำหรับข่าว ระบบจะส่งอีเมลมาเตือนเมื่อมีข่าวใหม่ 10 อันดับแรกที่ตรงกับคำค้นหาที่คุณระบุจาก Google News Search

ถ้าเป็นบริการสำหรับเว็บไซต์ ระบบจะส่งอีเมลรายงานผลการค้นหา 20 อันดับแรกที่ตรงกับคำค้นหาที่คุณระบุจาก Google Web Search ส่วนบริการสำหรับบล็อก ระบบจะส่งอีเมลรายงานผลการค้นหา 10 อันดับแรกที่ตรงกับคำค้นหาที่คุณระบุจาก Google Blog Search เป็นต้นการสมัครใช้บริการสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการเข้าไปที่ http://www.google.com/alerts จากนั้นป้อนคำที่ต้องการค้นหา เลือกบริการที่ต้องการ (ข่าว เว็บไซต์ วิดีโอ ฯลฯ) ความถี่ที่คุณต้องการตรวจสอบผลลัพธ์และอีเมลของคุณหลังจากกรอกข้อมูลครบแล้ว ให้กดปุ่ม “Create Alert” ระบบจะส่งอีเมลยืนยันให้คุณเมื่อได้รับอีเมลแล้วให้คุณยืนยันเปิดการใช้งาน โดยคลิกลิงก์ที่ส่งมาในอีเมลอย่างไรก็ตาม คุณสามารถสร้างและยืนยันการทำ Alert พร้อมๆ กันหลายรายการ โดยเข้าไปที่หน้า “Manage Your Alerts” ซึ่งการใช้งานนั้นคุณจะต้องเข้าสู่ระบบโดยใช้ Google Account หากยังไม่มี Google Account สามารถสร้างได้ที่หน้าเว็บไซต์ Google Account

4. Google Froogle

หลังจากที่ Google ได้เปิดให้บริการ Froogle ซึ่งเป็นเครื่องมือช่วยค้นหาสินค้าเพื่อการชอปปิงออนไลน์ แต่เนื่องจากชื่อดังกล่าวไม่สามารถสื่อได้ว่าเป็นแหล่งชอปปิงออนไลน์ตามที่ Google คาดหมายไว้ตั้งแต่แรก จึงได้เปลี่ยนชื่อ Froogle เป็น Google Product Search (http://www.google.com/products) แทน เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าใจง่ายขึ้น Froogle เป็น Index การสืบค้นสำหรับการชอปปิงแบบออนไลน์ที่ทำให้บรรดานักชอปฯ สามารถค้นหาสินค้าในราคาประหยัดได้ง่ายขึ้น

โดยเครือข่ายของ Froogle จะมีความสามารถในการค้นหาสินค้าต่างๆ ในร้านค้าออนไลน์เป็นพิเศษ โดยหน้าตาของ Froogle นั้นจะคล้ายกับ Google Directory แต่มุ่งเน้นไปที่การทำให้คุณเข้าถึงตัวสินค้าที่ต้องการได้ง่ายขึ้นการค้นหา สามารถทำได้โดยใส่ชื่อผลิตภัณฑ์ที่คุณต้องการโดยตรง หรือหากคุณยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ชัดลงไปก็สามารถดูสินค้าไปเรื่อยๆ โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการค้นหาจะมีภาพสินค้าปรากฏให้ดูด้วย (หากร้านค้ามีการนำภาพมาลงไว้) และสามารถเรียงผลการค้นหาที่ได้ทั้งในแบบตามราคา จากราคาสูงไปต่ำ หรือต่ำไปสูง เรียงเว็บไซต์ตามจำนวนสินค้าที่เสนอ เรียงตาม Products Rating หรือจะให้เรียงตาม Seller Rating ก็ได้นอกจากนี้ยังสามารถเลือกชมสินค้าเฉพาะรายการที่อยู่ในช่วงราคา (Price Range) ที่สนใจได้ด้วย และยังสามารถใช้การสืบค้นขั้นสูงมาช่วยให้การสืบค้นเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพมากขึ้น ตรงกับความต้องการมากขึ้น

โดยการสืบค้นจาก Froogle จะเป็นประโยชน์มาก ซึ่งถ้าหากคุณมีสินค้าที่ต้องการซื้ออยู่ในใจแล้ว และต้องการความรวดเร็วในการซื้อสินค้า เครื่องมือตัวนี้ของ Google จะสามารถช่วยคุณได้มากสำหรับเว็บมาสเตอร์และนักการตลาดที่ต้องการโปรโม ตสินค้าของตัวเอง การศึกษาและวิเคราะห์ว่าจะทำให้เนื้อหาบนเว็บไซต์ของตัวเองไปแสดงบน Froogle ได้นั้นต้องทำอย่างไรจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นจึงควรติดตาม ศึกษานโยบาย กลยุทธ์ และทิศทางในการทำให้สินค้าจากเว็บไซต์ของคุณได้ไปแสดงต่อหน้ากลุ่มเป้าหมาย นับพันนับล้านคนด้วย

5. Google Checkout

Google Checkout คือระบบการจับจ่ายซื้อสินค้าที่สะดวก ปลอดภัย และรวดเร็ว โดยจะทำหน้าที่คล้ายๆ กับเป็น Payment Gateway หรือ Payment Processing เพื่อทำหน้าที่รับชำระเงินค่าสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่มีขายบนเว็บไซต์ โดยระบบการรับชำระเงินของ Google Checkout นั้นคุณสามารถทำรายการสั่งซื้อและจ่ายค่าสินค้า ตลอดจนตรวจสอบรายการการสั่งซื้อหรือการชำระสินค้าได้ด้วยตัวเองผ่านหน้าเว็บไซต์

ผู้ที่มีเว็บไซต์อยู่แล้วสามารถที่จะนำ Google Checkout ไปติดตั้งไว้บนเว็บไซต์ได้ฟรี แต่ทุกครั้งที่มีคนชำระเงินผ่านทาง Google Checkout ทางเว็บไซต์จะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้กับ Google เป็นจำนวน 2%+$0.2 ต่อการชำระเงินหนึ่งครั้ง

ส่วนทางด้านผู้ใช้บริการ Google Checkout นั้นจะสามารถซื้อสินค้าบนอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน โดยผู้ใช้แค่ใส่รหัสบัตรเครดิตและข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เพียงแค่ครั้งเดียว จากนั้นเมื่อต้องการจะซื้อสินค้าก็แค่ใส่ Log In กับ Password ของ Google Checkout (ซึ่งก็เป็น Log In และ Password เดียวกับ Gmail หรือ Account อื่นๆ ของ Google) เท่านี้ก็สามารถทำการซื้อสินค้าได้แล้ว พร้อมทั้งยังสามารถเช็กประวัติการซื้อสินค้าของตัวเองได้ด้วยว่าซื้ออะไรไป เมื่อไรบ้าง

หากเกิดปัญหาก็สามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานยืนยันได้สำหรับนักการตลาดที่ใช้ AdWords ในการโฆษณาเว็บไซต์อยู่แล้วสามารถที่จะนำ Google Checkout นี้มาใช้สำหรับรับชำระเงินในเว็บไซต์ได้ โดยจะทำให้คุณเสียค่าธรรมเนียมน้อยลง หรือไม่เสียเลยก็ได้ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าถ้าหากคุณเสียค่าโฆษณาให้กับทาง Google AdWords เป็นจำนวนเงิน $1 ทาง Google จะอนุญาตให้คุณใช้ Google Checkout เพื่อรับชำระค่าสินค้าได้ฟรี $10 โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการใช้ (2%+$0.2) ซึ่งสิทธิพิเศษที่ทาง Google มอบให้นี้ทำให้เจ้าของร้านค้าสามารถประหยัดค่าธรรมเนียมการใช้ไปได้มากทีเดียว

นอกจากนี้คุณยังสามารถวางโลโกของตัว Shopping Cart ไว้ที่ตัวโฆษณา AdWords ที่คุณใช้ เพื่อใช้ประโยชน์จากความน่าเชื่อถือของแบรนด์ Google มาสร้างข้อได้เปรียบให้กับเว็บไซต์คุณได้ด้วย ซึ่งนักการตลาดเองก็คงไม่ต้องเสียเวลาไปกับการหาเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ และเปี่ยมไปด้วยคุณค่ามาใช้กันอีกแล้ว ได้ทำความรู้จักกับเครื่องมือฟรีๆ เพื่อช่วยทำการตลาดจาก Google ทั้ง 5 ตัวไปแล้ว ฉบับต่อไปมาติดตามกันต่อว่าจะมีเครื่องมืออะไรที่ทั้งฟรีและดีจาก Google ที่น่าใช้กันอีกบ้าง

ที่มา : อีคอมเมอร์สแมกกาซีนดอทคอม


จะเริ่มทำเงินจากบล๊อกได้ยังไง? Make money online หลังจากที่กระแสการเขียน Blog ได้รับความนิยมยอดฮิตติดจรวด เรียกได้ว่า เติบโตแซงหน้าเว็บไซต์ขึ้นมาเลยทีเดียว จากที่ผมเคยเขียนบล๊อคเล่นๆ และในช่วงนั้นก็มีความสนใจเกี่ยวกับการสร้างรายได้ออนไลน์อยู่ด้วย ใช้เวลาศึกษา ทดลอง ผิดๆถูกๆ อยู่หลายปีจนรู้ว่าอันไหนที่ทำแล้วได้เงินจริงๆ อันไหนที่ทำไปก็สูญเปล่า

ลองมาดูกันเลยดีกว่า รวยด้วยบล๊อค-ทำเงินจากบล๊อคได้ยังไง? Advertising Programs -จาก ระบบโฆษณา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Internet Marketing ที่ผมได้พูดไปแล้วในเรื่องของ ?ภาพรวมของระบบ Internet Marketing ? ซึ่งจะทำให้เข้าใจการทำงานของระบบโดยรวมทั้งหมด

ส่วนระบบโฆษณาที่ได้รับความนิยมและทำเงินได้อย่างมากจากชาวบล๊อคทั้งไทยและ ต่างประเทศก็คือ Google - Adsense. เป็นระบบโฆษณาที่เรียกว่า Contextual Ads อันนี้บอกได้เลยว่าสุดยอด เพราะเป็นของค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Google ซึ่งผมเองก็ทำอยู่

จริงๆแล้วก็มีคู่แข่งจากค่ายอื่นอีก เช่น MSN Adcenter เป็นของ Microsoft and YPN เป็นของ yahoo นั่นเอง (อันนี้ผมยังไม่ได้ลอง) ส่วนระบบโฆษณาอื่นๆก็เช่น Chitika?s eMiniMalls , WidgetBucks, Text Link Ads. Azoogle Ads, Intelli Txt, DoubleClick, Tribal Fusion, Adbrite, Clicksor, AdHearUs, Kanoodle, Pheedo, TextAds, Bidvertiser, Fastclick , Value Click แต่ระบบโฆษณาพวกนี้จะรองรับเฉพาะ blog ที่เป็นภาษาอังกฤษนะครับ

ก่อนที่เราจะเริ่มทำควรศึกษาระบบแต่ละตัวให้ดีก่อน เช่น รองรับภาษาอะไร กฏระเบียบ ข้อบังคับเป็นยังไงบ้าง ตัวอย่างบล๊อคที่ทำด้วยAdsense เช่น wittybuzz.blogspot.com

Sponsorship - จากสปอนเซอร์ต่างๆ แน่นอนครับถ้าหากเว็บไซต์ หรือบล๊อคของเรามีเนื้อหาที่มีคุณภาพและดังขึ้นมาเมื่อไหร่ เดี๋ยวเงินก็จะตามมาเอง

Affiliate Programs -จาก ระบบการเป็นหุ้นส่วน หรือเรียกง่ายๆว่าการเป็นตัวแทนโฆษณานั่นเอง โดยมีข้อตกลงที่บริษัทจ่ายเงินให้หากสามารถนำคนเข้ามาเยี่ยมชมในเว็บไซต์ หรือซื้อสินค้าต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของ banner ที่ดังๆเช่น Amazon, Linkshare, Clickbank และ Commission Junction Digital Assets -ผลิตภัณฑ์ดิจิตอล ทำเงินจากการขาย e-book หรือการจัดอบรมในหลักสูตรต่างๆ เป็นต้น Blog Network Opportunities -สร้างโอกาสที่ดีให้กับบล๊อค เป็นเรื่องที่ยากมากที่เราจะไปแข่งขันหรือสู้รบกับบล๊อคระดับบิ๊กๆ ในประเภทเนื้อหาเดียวกัน แต่เราควรจะเขียนบล๊อคของเราให้มีคุณภาพ ลักษณะโดดเด่น และเป็นเอกลักษณ์ โดยไม่ต้องคำนึงถึงการตลาดจนมากเกินไป เท่านี้เองก็จะสามารถแฟนพันธ์แท้ของเราเอาไว้ได้

Business Blog Writing Opportunities -รับจ้างเขียนบล๊อค ถ้าบล๊อคของเรามีคนมาเยี่ยมชมหรือเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังมากๆ ก็สามารถรับเขียนเรื่องให้กับบริษัทต่างๆ ที่สนใจลงโฆษณาได้ ซึ่งเป็นการโฆษณารูปในรูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจ หลีกเลี่ยงจากรูปแบบการโฆษณาแบบเดิมๆ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งและวิธีการที่สามารถทำเงินได้จากบล๊อค ยังมีวิธีอีกมากมาย รอเราอยู่และผมก็จะพยายามนำมาแนะนำในเรื่องต่อไป

ที่มา : สยามมันนี่ดอทเน็ต


1. ถ้าคุณเพิ่งทำเวบใหม่สดๆเลย ก็เขียนบทความอะไรซักหน่อย แล้วไปส่งที่ Digg, Reddit, และ Now Public
2. สร้าง Yahoo Group เกี่ยวกับเรื่องของเวบเรา
3. สมัคร MySpace แล้วใช้มันช่วยโปรโมท
4. บุ๊คมาร์คเวบเราที่ Del.icio.us และถ้าคุณมีกึ๋นซักหน่อยนะ ก็ใส่ปุ่ม Del.icio.us ไว้ในเวบของคุณด้วย
5. สมัคร Technorati แล้วก็ "claim" Blog ของคุณซะ (อย่าลืมใส่ปุ่ม ไว้ที่เวบ)
6. submit เวบของคุณที่ directories ที่เป็น seach engine friendly แบบฟรีๆ ก็มีเยอะแยะ เช่น Info Vilesilencer
7. ทำแบบสำรวจ นี่เป็นวิธีที่ดีที่จะโปรโมทแบบ offline (มีใครเคยทำมั้ยง่ะ - -a)
8. ไปลงโฆษณาฟรีสำหรับบริษัทของคุณที่ Gumtree
9. ใช้ RSS feeds
10. submit RSS feeds ของเราตาม FeedBurner, Squidoo, Feedboy, Jordomedia, FeedBomb, FeedCat, rssmad, feedirectory, และ Feedboy
11. เขียนบทความที่เกี่ยวกับเวบของคุณ แล้วส่งไปตาม article sites
12. สมัคร StumbleUpon แล้วเรียกเพื่อนๆมาช่วย Stumble
13. สร้างหน้า 404 ของตัวเองไว้ เผื่อว่าคนเข้ามาเจอ error ก็จะ redirect ไปที่อื่นๆที่ดีๆ
14. สร้าง 301 redirect เพื่อจะ redicrect traffic ของคุณจาก non-www มาที่ www ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ ที่นี่
15. ใส่ลิ้งของเวบคุณไว้ใน signature ของเวบบอร์ดที่คุณเป็นสมาชิก
16. บอกเพื่อนๆเกี่ยวกับเวบของคุณ (มันเป็นหารโฆษณาฟรีๆน่ะ)
17. ตรวจคำผิดในเวบของคุณด้วย!
18. เช็คเวบของคุณ browser หลายๆอัน
19. ซื้อโฮสต์ที่ดีพอ ไม่มีใครชอบเวบที่เป็นเต่าคลาน
20. ไม่ต้องกังวลกับ PageRank ไปหาทางโปรโมทดีกว่านะ เดี๋ยว PageRank มันก็ดีตามเอง
21. แจกของฟรี !! คนส่วนมากจะบอกต่อ เมื่อมีของฟรี
22. บอกเพื่อนบ้านของคุณ (- -a)
23. บอกวิธีที่จะติดต่อคุณให้มากที่สุด msn email yahoo skype เบอร์โทร ที่อยู่
24. ลงโฆษณากับ Craigslist มันฟรี และก็ดีใช้ได้
25. อย่าใช้ Frames
26. Submit เวบที่ DMOZ.org มันอาจจะต้องใช้เวลาซักหน่อย แต่ก็คุ้ม
27. สร้าง Site Map ให้กับเวบของคุณ แล้วส่งให้ Google
28. ทำเสื้อขึ้นสกรีน URL เวบคุณลงไป แล้วก้ใส่มันบ่อยๆด้วย (อืม..คิดได้เนอะ - -")
29. เอาไปให้สาวสวยหุ่นเร้าใจใส่ด้วยซักตัว *-*
30. สมัคร Affiliate program เพื่อขายสินค้าของคุณ หรือว่าถ้าคุณเป็น Publisher ก็โกยเงินกัน!!
31. ในหน้า contact ถามด้วยว่า คุณสนใจจะรับ Newsletter มั้ย
32. ส่ง Newsletter !!
33. เข้าร่วมสัมมนาคนทำเวบ คุณอาจจะเรียนรู้อะไรใหม่ๆก็ได้
34. หา Blog ดีๆ ดังๆ แล้วก็ไปตอบคอมเม้นไว้ (ใส่ลิ้งเวบคุณด้วยล่ะ)
35. อย่าจ้างคนให้ submit search engines ให้ เสียตังค์เปล่าๆ เพราะอันที่ดังๆมีแค่ Google 50% Yahoo 25% และ MSN 10%
36. ส่งคลิบเข้าพร้อมกับชื่อเวบคุณในคลิบ ที่ YouTube กับ Google Video
37. แจกฟรี e-book แล้วเวบคุณจะเป็นที่ฮือฮา
38. แจก Wordpress Theme, Blogger Theme, หรือ phpLD themes
39. ถ้าคุณขายของที่มีโฆษณาในทีวี เขียนในเวบคุณด้วยว่า "แบบที่เห็นในทีวี"
40. หลีกเลี่ยงเทคโนโลยีที่ไฮโซเกิน เช่น Java หรือ Active x
41. แจกของให้โหลดได้ ระวังลิขสิทธิ์ด้วย
42. เรียนรู้ CSS
43. ตอบคอมเม้น ยิ่งถ้าเป็น Blog ตอบบ่อยๆ
44. ขอให้เวบอื่น หรือ Blogger คนอื่นๆ ช่วย review เวบคุณ หรือว่า สินค้าก็ได้ (แลกกัน review ก็ดี)
45. ใช้ชื่อ page ที่มีความหมาย ไม่ใช่ domain.com/A10A4FD4F64
46. ถ้าคุณจำเป็นจะต้องมี Flash ที่หน้าแรก อย่าลืมใส่ปุ่ม skip ด้วย
47. บอกหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น หรือ วารสารประจำโรงเรียนเกี่ยวกับเวบของคุณ บางทีถ้าเค้าไม่มีเรื่องจะเขียน หน้าของคุณอาจจะไปโผล่ในนั้นก็ได้
48. จงดังในหมู่คนที่เขียนเรื่องเดียวกัน
49. บริจาคเพื่อการกุศล แล้วส่วนมากเค้าจะใส่ลิ้งแบคให้คุณ
50. ปฏิบัติตามกฏของ W3C standards มันจะช่วยให้คุณอยู่รอดได้ในระยะยาว
51. ทีมกีฬาในโรงเรียน หรือในชุมชน ให้โอกาสคุณเป็น sponsors ในราคาถูกและดี
52. โปรโมทเวบตามบอร์ดต่างๆ แต่อย่าสแปม
53. ขอให้ Blogger เขียนเกี่ยวกับเวบของคุณ โดยแลกกับลิ้งแบค
54. จัดการประกวดแข่งขันขึ้นมาในเวบ
55. ใส่ปุ่ม "ส่งต่อให้เพื่อน"
56. มี site map ในเวบของคุณ เพื่อช่วยผู้เข้าชม และsearch engine
57. ตั้งชื่อที่มีคีย์เวิร์ดตรงๆ ทั้งผู้อ่านและ search engine ชอบ
58. ใส่ปุ่ม FeedBurner ในเวบด้วย คนอ่านจะได้สมัครได้ง่ายๆ
59. Adwords เป็นทางเลือกที่ดี ถ้าคุณใช้มันเป็น
60. ใส่ About Me ใน Blog ผู้อ่านจะรู้สึกว่ามี'คน'ที่กำลังสื่อสารกับเค้า
61. สร้างหน้าเวบ แบนเนอ และโลโก้ไว้บนเวบ เพื่อว่าใครจะเอาไปตีพิมพ์ หรือเอาไปแปะในเวบ
62. ใส่ลิ้งมาที่เวบคุณจาก ebay profile
63. ขอให้เพื่อนของคุณช่วยวิจารณ์เวบแบบตรงๆ
64. E-books ที่มี reseller rights เป็นของแจกที่ดีอย่างนึงสำหรับเวบคุณ
65. submit รูปที่ Flikr
66. แชร์ banner ที่ เวบแลกเปลี่ยน banner
67. ตอบอีเมลล์ของลูกค้าให้เร็ว ไม่มีใครชอบรอ 3-4 วันกว่าจะได้รับคำตอบ
68. Keep It Simple Stupid (KISS) ใช้ CSS ในการวาง layout และ html text อย่าลวดลายมาก
69. อย่าใส่รูปเยอะมากจนเกินไป จะทำให้โหลดช้า
70. ถ้าคุณคิดว่าจะ submit เยอะมากๆ สร้างเมลล์อันใหม่มาเพื่อการนี้ แล้วทิ้งมันไปซะเพื่อลดการ สแปม
71. ใส่ Favicon ให้เวบคุณ จะได้โดดเด่นเวลา Bookmark
72. เข้า Yahoo answer แล้วตอบคำถาม พร้อมกับใส่เวบของคุณเปน source
73. อย่าซื้อ traffic มันจะมาแค่วูบเดียว แล้วจากไป
74. ทำความรู้จักกับคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน เข้า community เป็นต้น
75. เขียนบทความที่จะมีคนอยากลิ้งถึงมากๆ เช่น บทความนี้ไง แลบลิ้น

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม


1. Link ไปหาบล็อกอื่น
วิธีที่ง่ายที่สุด ก็คือทำ link ไปหาบล็อกอื่น ๆ ที่คุณสนใจก่อนเลย นักเขียนบล็อกหลาย ๆ ท่านมักะใจจดใจจ่อ อยู่ตลอดอยู่แล้วว่า จะมีใครทำ link มาหาบ้าง เมื่อคุณลิงค์ไปหาเค้าก่อน คุณก็อาจจะได้เป็นจุดสนใจ ทำให้เจ้าของบล็อกนั้น ๆ รู้จักบล็อกของคุณ คราวนี้แหละครับ ถ้าบล็อกเราดีจริง เค้าก็คงไม่รังเกียจที่จะทำ link มาหาเราแน่นอนครับ หรือถ้าให้ชัวร์ หลังจากที่คุณทำลิงค์ไปหาบล็อกอื่นแล้ว ลองเมล์ไปบอกเจ้าของบล็อกเค้าด้วยก็ดีครับ ว่าเราทำลิงค์ไปหาแล้วนะครับ

2. ไป Comment ที่บล็อกคนอื่นบ้าง
เวลาเราไปอ่านบล็อกคนอื่น ก็ไปเขียนคอมเม้นต์ไว้บ้างนะครับ มีคำแนะนำนิดนึงว่า อย่าไป spam comment เค้านะครับ เพราะขนาดเราเองยังรำคาญเวลามีคนมา spam comment ของเรา ใจเขาใจเราครับ ( เพิ่มเติมครับ ตอนนี้ในส่วน comment ของระบบ blog อย่าง wordpress มักจะมีแท็ก no follow ครอบอยู่ ทำให้ไม่สามารถช่วยในเรื่อง link popularity ได้แล้วนะครับ คงได้ประโยชน์คือให้เจ้าของบล็อก รู้จักบล็อกเราเท่านั้ัน)

3. Submit บล็อกเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆ
ข้อนี้ต้องขยันนิดนึง เพราะคุณต้อง submit บล็อกของเราเข้าสู่ Search Engine ต่าง ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ข้อได้เปรียบของบล็อกก็คือ คุณสามารถโปรโมทบล็อกไปสู่ search engine ของเว็บได้ และยังโปรโมทไปสู่ search engine เฉพาะทางเช่นพวก Blog Search Engine ได้อีกด้วย

4. ออกแบบบล็อกให้ดูดีสวยงาม
ถ้าคุณออกแบบบล็อกให้สวย ๆ หรือมีดีไซน์ที่โดดเด่นสะดุดตา คุณก็มีโอกาสที่จะโปรโมทเว็บของคุณที่ Rookienet หรือเว็บที่พูดคุยถึงเรื่องการดีไซน์เว็บ เป็นต้น

5. ใช้ CSS ในการออกแบบบล็อก
หากดีไซน์สวยแล้ว ยิ่งใช้ css ในการ coding เข้าไปอีก โอกาสยิ่งเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ เพราะคุณจะมีโอกาสได้โปรโมทไปสู่ระดับโลก เช่นเว็บ CSSvault ซึ่งถ้าคุณออกแบบสวยและใช้ CSS คุณก็สามารถส่งบล็อกของคุณ เข้าไปให้เค้าพิจารณาได้

6. ทำ Tag ไปหา technorati
บล็อกเสิร์ชเอนจิ้นชื่อดังอย่าง Technorati นั้นมี pagerank ที่สูงทีเดียว ยิ่งถ้าแต่ละบทความของคุณ มีการใส่ tag ไปแจ้ง technorati ไว้ เราจะได้ผลสองทางคือ ทางตรง ได้ไปอยู่ใน technorati directory และ ทางอ้อม คือ bot ของ search engine ต่าง ๆ จะวิ่งต่อจาก technorati มาเก็บข้อมูลในบล็อกของเราด้วย

7. ทำ signature ตอนตอบกระทู้ใน Web Board
เวลาไปตอบกระทู้ในเว็บบอร์ดต่าง ๆ ก็อย่าลืมตั้งค่า signature ให้ลิงค์มาที่บล็อกของคุณด้วย คำแนะนำคือ ตอบกระทู้ในสิ่งที่คุณตอบได้ อย่า spam เว็บบอร์ด ให้ตอบในเรื่องที่เรารู้จริง จะเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือให้บล็อกของเราได้อีกด้วย ลองแวะไปที่เว็บบอร์ดสำหรับชาวบล็อกอย่าง Blogger Talk ก่อนได้

8. ใช้ Social Bookmark
ในยุค web 2.0 อย่างตอนนี้ ลองใช้ประโยชน์จากเว็บพวก social bookmark ให้เกิดประโยชน์ ถ้าบทความในบล็อกของเรา ได้ไป link อยู่ในเว็บเหล่านี้ จะเป็นการเพิ่ม traffic และเพิ่ม link popularity ไปในตัว ลองดูเว็บอย่าง del.icio.us หรือ digg แต่ถ้าหากเป็นของไทย ลองแวะไปที่ Zickr

9. Ping ไปที่ Blog Search Engine
ถ้าระบบบล็อกของคุณเป็นโปรแกรมอย่างพวก WordPress หรือ MovableType คุณก็จะสามารถตั้งค่าของโปรแกรมให้ทำการ ping บทความหรือบล็อกของคุณ เข้าสู่ Blog Search Engine ในทุก ๆ ครั้งที่คุณอัพเดทบล็อกโดยอัตโนมัติ ลองดู ping list ที่นี่ดูครับ หรือถ้าหากใครตั้งค่า ping ไม่เป็น ลองดูวิธีที่ผมเคยเขียน วิธีการ ping ของ WordPress ไว้นะครับ

10. เขียนบทความให้เว็บอื่นหรือบล็อกอื่นๆ
หลายแห่งเปิดให้เราได้แสดงความสามารถ หรือเขียนบทความที่มีประโยชน์ ต่อกลุ่มเป้าหมายของเว็บไซต์ หรือบล็อกของเค้า และส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเราเขียนเรื่องส่งไป เราจะได้ credit เล็ก ๆ ก็คือ link กลับมาหาบล็อกของเรา

ที่มา : เก่งดอทคอม


อีริก ชมิดต์ (Eric Schmidt) อ่อนข้อ ขอลาออกจากการเป็นกรรมการบริหารบริษัทแอปเปิล (Apple) แล้ว เพื่อป้องกันปัญหาผิดกฏหมายว่าด้วยข้อห้ามดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทที่ เป็นคู่แข่งกัน หลังจากการแข่งขันระหว่างGoogleและแอปเปิลนั้นทวีความดุเดือดขึ้นทุกขณะ

กฏหมายสหรัฐฯนั้นห้ามบุคคลดำรงตำแหน่งผู้บริหารบริษัทที่เป็นคู่แข่งใน อุตสาหกรรมเดียวกัน เพื่อรักษาการแข่งขันในตลาดให้เกิดเป็นการค้ายุติธรรม ในกรณีของGoogleและแอปเปิลซึ่งแม้จะเคยไม่เป็นคู่แข่งกันเนื่องจากฝ่ายแรก เป็นบริษัทโฆษณาออนไลน์ขณะที่ฝ่ายหลังเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์-ฮาร์ดแวร์ คอมพิวเตอร์ แต่เมื่อGoogleเปิดตัวแพลตฟอร์มโทรศัพท์เคลื่อนที่"แอนดรอยด์ (Android)"และเว็บเบราว์เซอร์อย่าง"โครม (Chrome)" เมื่อปีที่แล้ว ทำให้Googleต้องอยู่ในฐานะคู่แข่งของ"ไอโฟน (iPhone)"และ"ซาฟารี (Safari)"จากแอปเปิลไปโดยปริยาย

ล่าสุดGoogleยังเปิดแผนพัฒนาซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการสำหรับคอมพิวเตอร์พีซี เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับยอดจำหน่ายคอมพิวเตอร์แมคอินทอชของแอปเปิล ทั้งหมดทำให้ภาพการเป็นคู่แข่งระหว่างGoogleและแอปเปิลชัดเจนขึ้นในที่สุด

ก่อนหน้าการประกาศลาออกจากคณะกรรมการบริหารแอปเปิลเพียงไม่กี่วัน คณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมสหรัฐหรือเอฟซีซี (Federal Communications Commission) ได้ลงมือตรวจสอบสถานะการแข่งขันของGoogleและแอปเปิลอย่างจริงจังแล้ว โดยเฉพาะในประเด็นที่แอปเปิลไม่อนุญาตให้นำโปรแกรมของGoogleมาเปิดดาวน์โหลด แก่ผู้ใช้ไอโฟน เช่นเดียวกับคณะกรรมการการค้ายุติธรรมสหรัฐหรือเอฟทีซี (Federal Trade Commission) ที่เร่งตรวจสอบว่าการควบเก้าอี้บริหาร 2 บริษัทของชมิดต์จะมีผลต่อการแข่งขันในตลาดไอทีโลกหรือไม่อย่างไร

อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารGoogleอีกรายอย่างอาร์เธอร์ เลวินสัน (Arthur Levinson) ซึ่งเป็นประธานบริษัท Genentech Inc. ยังคงดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารแอปเปิลต่อไป

ซีอีโอแอปเปิล สตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) ยอมรับว่า แผนการออกระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ของGoogleในปีหน้า เป็นสิ่งที่ทำให้ตัวจ็อบส์เองและชมิดต์ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่ควรจะทำ เนื่องจากบทบาทของชมิดต์ที่ลดน้อยลงอย่างมากหลังจากGoogleเริ่มขยายธุรกิจ ของตัวเองออกนอกโลกโฆษณาออนไลน์

"ในช่วงที่Googleขยายตลาดเข้าสู่ธุรกิจหลักหลายตัวของแอปเปิล บทบาทของอีริกในฐานะกรรมการบริหารแอปเปิลก็เริ่มลดลง นับตั้งแต่อีริกต้องงดเข้าประชุมใหญ่ของแอปเปิลเพื่อป้องกันการเกิดข้อครหา" เป็นไปตามคำกล่าวของชมิดต์ที่เคยยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่าการเป็นผู้บริหาร 2 บริษัทไม่เป็นปัญหาใดๆ เนื่องจากตัวเขาจะงดเข้าประชุมเรื่องที่เกี่ยวกับไอโฟน

สตีฟ ดาวน์ลิงก์ (Steve Dowling) โฆษกแอปเปิลปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่า ใครจะเข้ามาเป็นกรรมการบริหารแอปเปิลแทนชมิดต์ ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยกรรมการ 7 คน (รวมเลวินสันแล้ว)

กรณีของเลวินสัน คณะกรรมการเอฟทีซีระบุว่ากำลังจะตรวจสอบผลกระทบของการเป็นกรรมการบริหารแอ ปเปิลและGoogleของเลวินสันอย่างละเอียด จุดนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่า เลวินสันมีความเป็นไปได้ที่จะต้องออกจากตำแหน่งกรรมการบริหารบริษัทใดบริษัท หนึ่ง โดยเลวินสันยังไม่ออกมาให้ความเห็นใดๆ เช่นเดียวกับดาวน์ลิงก์ที่ไม่ให้เหตุผลว่า เหตุใดแอปเปิลจึงยังยินยอมให้เลวินสันดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารแอปเปิลอยู่

ข่าวจาก ผู้จัดการออนไลน์


ช่วงนี้ผมพอจะมีเวลาว่าบ้างแล้ว ก็เลยกลับมาสำรวจเว็บไซต์ที่ทำขึ้นมาในอดีต บางเว็บไซต์ ranking ตกบ้าง บางเว็บไซต์ google ranking ขึ้นบ้าง ที่ผมเช็ค google page rank ตกไปนั้นผมเองก็ไม่ค่อยแปลกใจเท่าไรเพราะว่า ไม่ได้ update นานมากแล้ว (เกือบปี) เพราะทำขึ้นเพื่อทดลองวิธีการหาเงินผ่าน Google Adsense หน่ะครับ (เหมือนที่พี่ๆ หาเงินผ่าน Google Adsense นั่นแหล่ะครับ)

หลังจากเริ่มเห็นผลการใช้ google adsense ทำเงินให้บ้างแล้ว ผมจึงย้อนกลับมาสนใจเว็บไซต์เก่าๆ ที่ทำไว้ และหาทางเพิ่มเนื้อหา เพิ่ม keywords เพื่อ backlinks และอีกหลายๆ อย่างที่จะทำให้เว็บไซต์เรามี traffic เพิ่มขึ้น อีกวิธีหนึ่งที่ต้องทำเพื่อเพิ่ม traffic ให้กับเว็บไซต์ก็คือ ต้องทำตัวเองให้ไปอยู่ใน web directory ต่างๆ โดยเฉพาะของต่างประเทศ เพราะเว็บไซต์ที่หาเงินจาก adsense นั้นเป็นภาษาอังกฤษ (english) ครับ

เกริ่นมาซะนาน เข้าเรื่องเลยแล้วกัน ?..
วันนี้จุกพบเว็บไซต์หนึ่งที่ช่วยเราได้มาก สำหรับการนำเว็บไซต์เราเข้าไปอยู่ใน directory ของเว็บไซต์ต่างๆ ทั่วโลกอย่างง่ายดาย โดยที่เราไม่ต้องคอยเข้าไป submit website ของเราเองกับ website ต่างๆ ง่ายๆ คือ submit เว็บไซต์เกือบ 300 website ได้ในเว็บเดียว แถมยังเลือกได้ด้วยว่าจะ submit เข้าเว็บไซต์ของประเทศอะไรบ้าง?. เว็บไซต์ที่ว่านี้คือ allsitecafe.com

ใช้ง่ายครับ ก็แค่กรอกข้อมูลของเว็บไซต์เรา จากนั้นก็คลิกที่ปุ่ม submit รอดูผลลัพธ์ เมื่อระบบมัน submit หมดแล้วก็กลับมา submit ใหม่อีกครังหนึ่ง ทำจนครบทุกประเทศ จะได้ได้เยอะๆ ครับ

+300 website submission
Now you can submit your website to 275 search engines with our free website submission
service ? Simply fill out the free url submission form and submit your website free

เราสามารถ submit เว็บไซต์มากๆ ได้ ในครั้งเดียว

หมายเหตุ :

1. submit นี้ เหมาะสำหรับ website ภาษาอังกฤษ นะครับ (ภาษาไทย ไม่ควรทำ)
2. email ควรกรอก email ของเราเอง เพราะบางเว็บไซต์จะ email ผลการ submit มาบอกเรา และบางเว็บไซต์ก็ให้เรา confirm ด้วย
3. แนะนำ หลังกดปุ่ม submit และรอผลลัพธ์จนหมดแล้ว ให้ คลิก BACK ที่ browser หรือคลิก << go back จะกลับมาหน้าข้อมูลโดยข้อมูลไม่หาย

ลองเอาไป submit website ของตัวเองกันดูนะครับ

ปล. เหตุที่ในเนื้อหาของ บางคำภาษาไทยบ้าง บางคำใช้ภาษาอังกฤษบ้าง เช่น website-เว็บไซต์ ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสที่ search engine จะเข้ามายังเว็บไซต์ครับ รวมๆ trick SEO Tricks ครับ ไม่ว่ากันนะครับ

ที่มา : มาร์เก็ตติ้งไบท์ดอทคอม

Newer Posts Older Posts Home