A Blogger by Beamcool

บล็อค ที่รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับ การตลาด seo และ วิธีการ หาเงิน บน อินเตอร์เน็ต เทคนิคในการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต ( เราหมายถึงการ ทำเงิน บน อินเตอร์เน็ต จริง ๆ ที่ไม่ใช่การชวนเข้า mlm แต่อย่างใดครับ) รวมถึง บริการออนไลน์ ออฟไลน์ ต่าง ๆ ในเครือ Wittybuzz ไว้ด้วยกัน ใครที่เยี่ยมชมนี้ด้วย Internet Explorer แนะนำให้ดาวโหลด Firefox มาใช้จะดีกว่าครับ นอกจากลูกเล่นจะมีเยอะกว่า ยังมีเครื่องมือที่สนับสนุน SEO อีกด้วยครับ


เวลาที่เรา้ค้นหาบริษัทที่รับออกแบบเว็บไซต์นั้น หลายครั้งที่คนเรามองราคาถูกเป็นปัจจัยหลักจนมองข้ามไปอย่างนึงว่า ของทุกอย่างที่มีราคาถูกก็เพราะมันมีสาเหตุที่ทำให้ถูกได้ และสิ่งที่บริษัทเหล่านั้นชอบทำเวลาเสนองานรับออกแบบเว็บคือ การนำเท็มเพลตเว็บของฟรีที่มีแจกทั่วไปมาทำเว็บให้คุณ หรือใช้การออกแบบเว็บอย่างลวก ๆ เพราะรับงานราคาถูก จำเป็นต้องทำในปริมาณที่มากเพื่อชดเชยราคาที่หายไป ทีนี้สิ่งที่หายไปคือ คุณภาพในการออกแบบ

หลายคนคิดว่ามันก็ไม่ต่างกันหรอก เป็นเว็บเหมือนกัน แต่จริง ๆ แล้วมันมีความแตกต่าง เพราะการออกแบบเว็บไซต์ฺราคาถูกนั้นจะไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์การใช้งานของคน ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บ การใช้ภาพประกอบและการใช้สีที่ไม่ได้ผ่านการวิเคราะห์อย่างเป็นระบบนั้น จะทำให้เว็บของคุณไม่น่าเข้าเยี่ยมชม ดูสับสน ไม่โดดเด่นและไม่มีเอกลักษณ์ เราขอแนะนำว่า ถ้าคุณเจอข้อเสนอรับออกแบบเว็บไซต์ที่ไหน ที่ถูกและดูดีเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ข้อเสนอนั้นอาจมีอะไรแอบแฝง หลายครั้งที่เราประหยัดราคาไปอาจเสียในถายหลังมากกว่าที่คิด

ที่พูดเช่นนี้ไม่ได้หมายความว่าให้มองหาแต่บริษัทรับออกแบบเว็บราคาแพง แต่ให้มอง “ราคาที่เหมาะสม” มากกว่า จ่ายแพงแล้วควรได้ของดีสมราคา บริษัทรับออกแบบเว็บราคาแำพงแต่งานไม่สมราคาก็มีเหมือนกัน วิธีการหนึ่งที่ช่วยได้คือ ดูผลงานการออกแบบของบริษัทนั้น ๆ ที่ผ่านมาว่าเป็นอย่างไรก่อนทำการตัดสินใจ

หน้าเว็บก็เปรียบเสมือนหน้าร้านค้า การลงทุนในเว็บก็เหมือนการลงทุนในธุรกิจ และการลงทุนด้านการออกแบบนั้น ในระยะยาวถือเป็นการลงทุนที่มีผลตอบแทนต่อการลงทุนคุ้มค่าที่สุด เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียวแต่สามารถอยู่ได้นานหลายปีโดยไม่ต้องปรับ เปลี่ยน หากการออกแบบเว็บไซต์นั้น ๆ มาจากการวิเคราะห์ที่ดีโดยผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่แรก


ปัจจุบันนี้ หลาย ๆ ประเทศ กำลังโดนภาวะเศรษฐกิจถดถอยเล่นงาน เนื่องจากสาเหตุหลาย ๆ อย่างด้วยกัน เช่น ต้นทุนการผลิตและขนส่งสูง น้ำมันขึ้นราคา สินค้าขึ้นราคา สินค้าที่ผลิตขายไม่ออก บางธุรกิจผลิตสินค้าออกมา ก็โดนละเมิดลิขสิทธิ์ เป็นต้น รายได้และกำไรเข้าบริษัทน้อยลง จึงลดจำนวนพนักงานลงเป็นจำนวนมาก เพื่อประคับประคองบริษัทของตัวเองให้อยู่รอด แต่มีไม่น้อยเหมือนกัน ที่ต้องปิดบริษัทหรือสถาบันของตัวเองไป

เมื่อมีคนตกงานจำนวนมากเช่นนี้ ปัญหาสังคมต่าง ๆ ย่อมตามมา ไม่ว่าจะเป็น ปัญหาอาชญากรรม ความไม่เสมอภาคทางสังคม ความสามัคคีภายในชาติลดลง เป็นต้น เราในฐานะเป็นคนหนึ่งในสังคม ที่อาจโดนปัญหานี้เล่นงานได้สักวัน จะช่วยกันลดปัญหาให้กับตัวเอง และ สังคมได้อย่างไร

คงโชคดีไม่น้อยที่คนที่โดนปลดออกจากงานแล้ว สามารถหางาน และ มีรายได้เลี้ยงดูตัวเอง และ ครอบครัวได้ หรือ บางคนที่ยังไม่ได้งาน ก็สามารถมองหาช่องทางใน การสร้างเงิน สร้างรายได้ ในระยะเวลาอันรวดเร็ว

วันนี้เลย อยากนำเสนอลู่ทางใหม่ สำหรับสร้างเงิน สร้างรายได้ใหม่ ๆ สำหรับผู้ที่ว่างงานอยู่ หรือ อยากมีรายได้เสริม ซึ่งคาดว่าตะเป็นรายได้หลักของคุณในอนาคตอันใกล้ ถ้าคุณดูแลเอาใจใส่กับงานที่ผมจะนำเสนอต่อไปนี้

หลายคนคงเคยได้ยิน และ คุ้นหูกับคำว่า Work at Home มาบ้างแล้ว ซึ่งการทำงานดังกล่าวนี้ ต้องทำงานที่บ้านจริง ๆ หรือทำที่ไหนก็ได้ ที่เราสะดวกจะทำ หรือ อยากจะทำ ไม่ใช่งานแจกใบปลิว หรือ แชร์ลูกโซ่ให้กันเป็นทอด ๆ ดังที่เป็นข่าวมานับไม่ถ้วน

คุณรู้หรือไม่ว่า แค่คุณ สร้างเว็บไซต์ ขึ้นมา คุณก็สามารถ สร้างรายได้จากเว็บไซต์ ได้อย่างไม่ยากนักในสถานการณ์โลกปัจจุบัน เนื่องจากแต่ละบริษัท ล้วนต้องการลดต้นทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าน้ำมันที่แพงมาก ดังนั้น การติดต่อซื้อ - ขายสินค้าในปัจจุบันนี้ จะเปลี่ยนมาอยู่ในภาคตลาดออนไลน์กันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในประเทศไทย หรือ ประเทศยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกา หรือ อังกฤษ ก็ตาม

ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากโฆษณาในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ชมเว็บไซต์ click เข้าไปดูเว็บไซต์ของบริษัทผู้ลงโฆษณาผ่าน Google AdSense, MSN AdCenter, Yahoo! Publisher Network, CJ Affiliate Program เป็นต้น

ซึ่งกลุ่มบริษัทดัง ๆ ในวงการโฆษณาออนไลน์ข้างบนดังกล่าว นับเป็นช่องทางสร้างรายได้ให้กับ เจ้าของเว็บไซต์ผู้ช่วยบริษัทเหล่านี้ โฆษณาเว็บไซต์ลูกค้า ของเขา รวมทั้งเจ้าของสินค้าที่นำเว็บไซต์ของตัวเอง ไปลงโฆษณากับบริษัทโฆษณาเหล่านี้ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ดังกล่าว click มาชมเว็บไซต์ และ สั่งซื้อสินค้าที่เขาต้องการไปใช้

สำหรับผู้ที่ไม่มีสินค้าไว้จำหน่าย ควรทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหา ที่มีผู้คนสนใจเยอะ ๆ และ สมัครเป็น publisher ของบริษัทโฆษณาออนไลน์ดังกล่าวข้างบน รวมทั้ง พัฒนาเว็บไซต์ ของตัวเองอยู่สม่ำเสมอ เพื่อให้ติดอันดับผล search ใน search engines ดัง ๆ อย่าง Google, Yahoo และ MSN เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากยิ่ง จากผู้ที่เยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา และ click ที่โฆษณาของเรา

เมื่อผ่าน การพัฒนาเว็บไซต์ ไประยะหนึ่งแล้ว และ Google อั๊พเดท PageRank แล้วเว็บไซต์ของเราโชคดีได้ PageRank ที่ดี (ตั้งแต่ PageRank 3 ขึ้นไป) โอกาสในการขายโฆษณาของเรายิ่งมีมากขึ้น ซึ่งเราสามารถไปสมัครกับบริษัท Text Link Brokers ดัง ๆ หลายตัวอย่าง Text Link Ads, Direct Link Ads, BackLinks, Text Link Brokers เป็นต้น

ซึ่งบริษัท Pay Per Click และ Text Link Brokers ดังกล่าว มีรายละเอียดกับข้อตกลงแตกต่างกันไป ซึ่งเราควรให้ความสนใจด้วย ก่อนที่เราจะทำผิดกฏของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ และโดนปิดบัญชี publisher ไปในที่สุด

สำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าและบริการออนไลน์ ควร สร้างเว็บไซต์ ไว้ เพื่อเป็นที่แสดงสินค้า พร้อมรายละเอียดชัดเจน มีเว็บบอร์ดไว้พูดคุยเกี่ยวกับสินค้าและบริการ เพื่อให้ลูกค้ามีโอกาสเลือกชมสินค้า รวมทั้งเกิดความประทับใจในสินค้าและบริการของเรา แล้วกลับมาเป็นลูกค้าประจำซื้อสินค้าอยู่เรื่อย ๆ

สินค้าและบริการ ที่นิยมนำมา ทำอีคอมเมิร์ซ กันมากใน ไทย ได้แก่ ไม้ดอกไม้ประดับ เครื่องสำอางค์ เสื้อผ้า รถมือสอง บริการห้องเช่าและหอพัก สัตว์เลี้ยง การรับออกแบบเว็บไซต์ การรับทำ SEO เป็นต้น

สำหรับการเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์นั้น ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย ถ้ายังไม่มีความรู้ในด้านเว็บดีไซน์ ก็ควรใช้ เว็บไซต์สำเร็จรูป ก่อน และทำความคุ้นเคยกับเว็บไซต์ จนเกิดความชำนาญในการใช้งานเว็บไซต์ พร้อมทั้งศึกษา วิธีการทำเว็บไซต์ ไปในตัวด้วย

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


Web DesignGoogle คือ search engine ที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับ 1 ที่มีอัตราการใช้ในการ search หาข้อมูลมากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น Google ยังมีการตลาดโฆษณาที่ทรงอานุภาพอย่าง Google AdSense และ Google AdWords ที่เป็นแหล่งสร้างรายได้ขนาดใหญ่ให้กับผู้ลงโฆษณาและผู้ช่วย Google กระจายโฆษณา ทำให้ความสนใจใน Google ของผู้ที่อยู่ในตลาดออนไลน์ไม่ได้ลดน้อยถอยลงไป ถึงแม้จะมีคู่แข่งจำนวนมากเกิดขึ้นรายวันก็ตามและ Google PageRank ยังเป็นเสมือนเครื่องมือวิเศษอีกอย่างที่เสกให้ทุกสายตายังจับจ้องอยู่ที่ Google ไม่มีวันเบื่อหากเว็บไซต์ของเขายังมี PageRank ขึ้นสีเขียว ยิ่งเขียวมากเท่าไหร่ ยิ่งแฮปปี้กันมากเท่านั้น

วกกลับมาที่เรื่อง web design ที่จะทำให้ Google ชอบและได้แนะนำเอาไว้ในส่วน webmaster guidelines ของ Google เอง

1.) ควรทำ web design ที่ดูสบายตาไปด้วยตัวหนังสือและรูปภาพต่าง ๆ เป็นที่ประทับใจของผู้เยี่ยมชม เป็นการเชิญชวนเขาให้กลับมาดูเว็บไซต์ของเราอีก ทุก ๆ web page ควรสามารถมองเห็นและเข้าถึงได้จากหน้าใดหน้าหนึ่ง เพราะหากไม่มีใครมองเห็น ก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปดูได้ นอกเสียจากว่าเราจะบอก link location ให้กับเขาด้วยตัวเอง

2.) ควรทำ Site Map ที่ลิงค์ไปยังส่วนสำคัญต่าง ๆ ของเว็บเราให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เข้าถึงได้ง่าย หาก Site Map ของเรามีมากกว่า 100 ลิงค์ ควรสร้าง Site Map เพิ่มขึ้นมาอีกหน้า

3.) ควรทำเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ อีกทั้งควรทำแต่ละ web page ให้มีความชัดเจนและอธิบายเนื้อหานั้น ๆ ให้ถูกต้อง

4.) ควรคำนึงถึงคำหรือ keywords ที่ผู้ค้นข้อมูลจะพิมพ์แล้ว search เจอ web page ของเราด้วย และควรทำให้ปรากฏใน web page ของเราด้วยว่ามีคำหรือ keywords นั้นอยู่จริง

5.) พยายามใช้ตัวหนังสือที่แสดงชื่อ เนื้อหา หรือลิงค์ต่าง ๆ แทนที่จะใช้รูปภาพแสดง เพราะว่า Google crawler หรือ Google bots ไม่สามารถจะประมวลตัวหนังสือที่อยู่ในภาพนั้น ๆ ได้ หากจำเป็นต้องใช้ อย่าลืมใส่ alt=”keywords ที่ต้องการอยากให้ถูกค้นพบใน search engine และสื่อถึงภาพนั้น ๆ ด้วย”

6.) ส่วน < title > และ alt tags ควรอธิบายให้ถูกต้องและตรงกับเนื้อหาและรูปภาพที่ปรากฏในแต่ละ web page

7.) ตรวจเช็ค broken links หรือ dead links และแก้โค๊ด HTML หรือสคริปต์ต่าง ๆ ให้ถูกต้องด้วย

8.) หากเราจะใช้ dynamic pages เช่น URL ที่มีเครื่องหมายคำถาม (?) ซึ่งจะสร้าง Session ID หรือ phpsessionid ขึ้นมา ทำให้ link URL เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่นิ่ง ควรตะหนักให้ดีเสียก่อนว่า search engine spiders รวมทั้ง Google bots ไม่อาจจะเข้าไปเยี่ยมชมและจัดเก็บเนื้อหาของ web page ที่เป็น dynamic pages มารวบรวมไว้ใน data center รวมทั้งประมวลเอาไปจัดตำแหน่งในผล search ได้ดีเท่ากับ static pages

9.) ควรจำกัดปริมาณ hyper links ทั้ง inboud links และ outbound links ไม่ให้เกิน 100 links ต่อ 1 web page

เมื่อ Google ได้เปิดเผยเทคนิคสำหรับ web design ที่ทำให้ search engine spiders ชอบมาเยี่ยมเว็บบ่อย ๆ แบบนี้ออกมาแล้ว ซึ่งก็น่าจะมีนัยสำคัญที่หลาย ๆ คนต้องการอยากรู้และแต่เสียเวลาอยู่ใน webmaster forums บ้าง SEO webboards บ้าง เป็นเวลานาน ๆ เพื่อหาเทคนิค web design พิเศษพิศดารมาทำให้เว็บตัวเองได้รับอันดับผล search ดีขี้น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้ยุ่งยากอย่างที่คิดเลย ถ้าเราทำเว็บไซต์ให้มีเนื้อหาถูกต้อง ชัดเจน web design ถูกหลัก search engines และไม่เป็นภัยหรือก่อความรำคาญต่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


การทำเว็บเพื่อธุรกิจหรือหน่วยงานต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องมีวัตถุประสงค์ของการทำเว็บไซต์ เพื่อให้ได้มาซึ่งกลุ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ไว้ อย่างชัดเจน โดยควรพิจารณาเป็นข้อ ๆ ก่อนลงมือทำเว็บดังนี้ :-

1.) กำหนดวัตถุประสงค์ของเว็บไซต์ ว่าจะจัดทำเว็บเกี่ยวกับอะไร เช่น ท่องเที่ยว บันเทิง กีฬา ค้าขาย บริการ ข้อมูล เป็นต้น

2.) กำหนดกลุ่มผู้ชมเป้าหมาย เพื่อที่จะได้จัดโทนสี รูปภาพ กราฟฟิก เนื้อหา หน้าตาของเว็บเพจให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นกับผู้เยี่ยมชมเว็บ และ อาจช่วยให้ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เหล่านั้นกลายเป็นขาประจำ พร้อมกับกลายมาเป็นลูกค้าของเราได้ในที่สุด ซึ่งนับเป็นความสำเร็จของคนทำเว็บเชิงธุรกิจเป็นอย่างยิ่ง

3.) หากทำเว็บที่เกี่ยวกับการให้ข้อมูล ควรศึกษาค้นคว้าหาข้อมูลมาจากหลาย ๆ แหล่งซึ่งเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง เพื่อที่จะได้นำเนื้อหาสาระมาประยุกต์ใช้ ปรับปรุง และนำเสนอได้อย่างครบถ้วนและสมบูรณ์

4.) หากเว็บไซต์มีเนื้อหามากๆ ก็จำเป็นต้องมีบุคลากรที่ชำนาญในด้านต่าง ๆ เพื่อช่วยในการพัฒนาเว็บไซต์ให้ดำเนินการได้อย่างไม่ติดขัด ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเว็บเซิร์ฟเวอร์ กราฟิกดีไซน์ เว็บมาสเตอร์ เจ้าหน้าที่พัฒนาเนื้อหาเว็บไซต์ เป็นต้น

5.) เตรียมทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีความจำเป็นต่อความคล่องตัวของการทำเว็บ เช่น โปรแกรมต่างๆ ทั้งในด้านระบบฐานข้อมูล และมัลติมีเดีย โปรแกรมสร้างภาพเคลื่อนไหว เป็นต้น

ความสำเร็จของคนทำเว็บไม่ได้อยู่ที่ความเก่งของคนเพียง คนเดียว องค์กรขนาดใหญ่หรือเว็บไซต์ดัง ๆ ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกนั้น จำเป็นต้องมีผู้ร่วมงานที่ทำงานกันเป็นทีมในด้านต่าง ๆ จำนวนมากเพื่อขับเคลื่อนหน่วยงานของตัวเอง

หากต้องการลดต้นทุนในการจ้างคนทำเว็บที่เป็นพนักงาน ประจำเนื่องจากงบประมาณจำกัด ควรหาทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในการทำเว็บมาช่วยในบางด้านเพื่อพัฒนา เว็บไซต์ให้เกิดความหลากหลาย และ มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ซึ่งปัจจุบันนี้ การทำเว็บไม่ได้ยุ่งยากและสิ้นเปลือง ค่าใช้จ่ายแพงเกินไปเหมือนเมื่อหลายปีที่ผ่านมานัก เพราะความเจริญในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการแข่งขันในด้านการตลาดสูงขึ้น จึงทำให้ Internet Marketing มีสินค้าและบริการต่าง ๆ ที่ถูกและดีขึ้นเรื่อย ๆ

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


การเริ่มต้นทำเว็บขายของ หรือ เว็บ E-commerce นั้น สิ่งที่ควรเตรียมก่อนสิ่งอื่น คือ เราจะต้องมีสินค้าหรือบริการอยู่แล้ว ไม่ว่าสินค้านั้น จะเป็นสินค้าที่เป็นชิ้น ๆ ที่สามารถส่งได้ทางไปรษณีย์ และ ขนส่งผ่านบริษัทส่งของก็ตาม หรือ อาจจะเป็นซอฟต์แวร์ที่ไม่ต้องขนส่ง แต่สามารถให้ลูกค้าดาวน์โหลดเอาไปใช้ได้

ขั้นตอนต่อมา เราจะต้องมี web hosting สำหรับวางเว็บไซต์ของเรา ซึ่งบริษัท hosting server เหล่านี้มีอยู่มากมายที่เราสามารถเลือกใช้บริการได้ แต่เราก็ต้องดูอีกว่า ซอฟต์แวร์จำพวก shopping cart ที่เราจะใช้นั้น hosting server รองรับหรือเปล่า?

ที่สำคัญอีกประการถัดมาคือ เราจะต้องมีเว็บไซต์เพื่อที่จะทำเป็น เว็บอีคอมเมิร์ซ เสียก่อน ซึ่งปัจจุบันนี้ มีหลายเว็บไซต์ให้บริการทำเว็บขายของฟรี แต่กระนั้น หากเราต้องการทำเว็บขายของ ที่มีรูปแบบ การออกแบบเว็บอีคอมเมิร์ซ เป็นส่วนตัว และไม่ซ้ำแบบใครนั้น เราจำเป็นจะต้องมี เว็บไซต์ E-commerce ส่วนตัว เพื่อที่เราจะได้ทำอะไรได้เต็มที่กับเว็บไซต์เของเรา

หากคุณยังไม่พร้อมที่จะ ออกแบบเว็บอีคอมเมิร์ซ ด้วยตัวเอง ทีมงาน Wittybuzz ของเราพร้อมให้ บริการออกแบบเว็บ E-commerce เพื่อทำให้ การทำเว็บขายของ ของคุณสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

สำหรับวิธีการชำระเงินของ การทำเว็บขายของออนไลน์ ที่ให้ลูกค้ามีตัวเลือกมากขึ้นนั้น ได้แก่ ชำระผ่านบัตรเครดิต สั่งจ่ายเช็ค โอนเงินผ่านธนาคาร หรือ online banking ธนาณัติ หรือ ตั๋วแลกเงินทางไปรษณีย์ การชำระผ่าน PayPal และ PaySbuy เป็นต้น

ประการสุดท้าย ซึ่งนับว่าสำคัญที่สุด คือ เราจำเป็นจะต้องมีกลยุทธทางการตลาดให้กับเว็บไซต์ พร้อมทั้งสร้างความดึงดูดใจลูกค้าอยู่เสมอ เช่น มีการลดราคาสินค้าบ้างเป็นครั้งคราว มี discount sales ให้ลูกค้าในกรณีสั่งซื้อจำนวนมากต่อครั้ง เพิ่มสินค้าและบริการใหม่ ๆ เข้ามาสม่ำเสมอ เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว เราจำเป็นต้องมีหลักการตลาดที่ดี และอย่าลืมทำ การพัฒนาเว็บไซต์ E-commerce ของเราให้เป็นที่รู้จัก โดย การโปรโมตเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ด้วยรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การทำ SEO เพื่อให้ เว็บอีคอมเมิร์ซ ของเราถูกค้นพบใน search engines การลงโฆษณาแบบ pay per click กับบริษัทที่ไว้วางใจได้ในเรื่อง invalid clicks อย่าง Google หรืออาจจะลงโฆษณาใน รูปแบบของ affiliate program ที่เราจะจ่ายเงินให้คนลงโฆษณา เมื่อมีการซื้อขายสินค้าของเราผ่านการแนะนำ (Referral) ของเขาเกิดขึ้น

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


Online Marketing เป็นช่องทางดำเนินธุรกิจอีกทางหนึ่ง ที่ทุกคนสามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ เนื่องจาก Internet เป็นทั้งเครื่องมือการค้า ช่องทางการจำหน่าย และ ช่องทางโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า ได้อย่างกว้างขวาง เพราะฉะนั้น E-Commerce จึงได้พลิกโฉมรูปแบบการค้า และ เปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินชีวิตของเรา

ดังนั้น เราจึงไม่ควรมองข้ามตลาดออนไลน์ หรือ E-Commerece ดังกล่าวไปได้เลย เพราะสังคมออนไลน์เติบโตขึ้นทุกวัน การทำงานในรูปแบบ Work at Home ก็มีอัตราการเพิ่มขึ้นสูง ซึ่งกลุ่มคนออนไลน์เหล่านี้ จะนิยมใช้บริการออนไลน์เป็นอย่างมาก เช่น online banking, ซื้อของออนไลน์, chat, หาเพื่อน, หาคู่เดทออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งพฤติกรรมของสังคมออนไลน์ดังกล่าว สามารถเพิ่มโอกาสทำรายได้ให้แก่ผู้ทำ E-Commerce ได้อย่างมากเลยทีเดียว

สินค้าที่นิยมนำมา ทำธุรกิจ E-Commerce ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้าที่ผู้ซื้อรู้จักอยู่แล้ว ซึ่งลูกค้าเลือกซื้อได้จากทุกที่ เช่น หนังสือ ของเล่น เครื่องใช้ไฟฟ้า ดอกไม้ เครื่องประดับ เพลง video game ซอฟต์แวร์ ข้อมูลจากซีดีรอม เป็นต้น

ข้อดีของการทำ E-Commerce นั้น ช่วยทำให้ผู้ประกอบการ ประหยัดกว่า การทำธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่ต้องส่ง catalogue ไปให้ลูกค้าเลือกซื้อ หรือ เสียค่าเช่าเปิดบูธแสดงสินค้าในงาน trade show ต่าง ๆ เพื่อโปรโมตสินค้า

ถ้า สร้างเว็บไซต์ E-Commerce บนอินเตอร์เน็ต เพื่อทำเป็นบู๊ธแสดงสินค้าถาวร ที่ลูกค้าสามารถเข้าชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง และ ดำเนินการค้าขายได้อย่างอิสระทั่วโลก ซึ่งนับเป็นข้อดีอีกข้อของ การทำ E-Commerce

หากเราไม่อยากจะ สร้างเว็บไซต์ ของตัวเอง ซึ่งค่อนข้างยุ่งยาก เราอาจจะจ้าง บริษัทรับออกแบบเว็บ E-Commerce ช่วย สร้างเว็บไซต์ และ ดูแลเว็บไซต์ ตลอดอายุการใช้งานได้ ซึ่งจะเป็นที่รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ และ เป็นการง่ายต่อผู้ซื้อในต่างประเทศ ที่จะเลือกซื้อสินค้าได้ ซึ่ง บริการออกแบบเว็บอีคอมเมิร์ซ นี้ Wittybuzz เปิดให้บริการอยู่

การทำ E-Commerce เป็นการตลาดที่ใช้ต้นทุนต่ำ เพราะไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปติดต่อธุรกิจกันเลย ง่ายต่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ สามารถเข้าถึงลูกค้าที่ใช้บริการ Internet ได้ง่ายมาก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย และ เวลาสำหรับผู้ซื้อกับผู้ขาย และ ไม่จำเป็นต้องเปิดร้านขายสินค้า ที่ต้องมีการจดทะเบียนต่าง ๆ ซึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร เพียงแค่มีสินค้า และ บริการให้กับลูกค้าเท่านั้น เราก็สามารถ ดำเนินธุรกิจ E-Commerce ได้อย่างสะดวกสบายแล้ว

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม



ในปัจจุบัน มีเว็บใหม่ทั่วโลกเกิดขึ้นทุกวินาที
ขณะเดียวกันก็มีเว็บที่ปิดตัวลงไปทุกวินาทีเช่นกัน!!

เว็บที่ประสบความสำเร็จมีไม่ถึง 20%

หลายคนพยายามที่จะปรับปรุงหน้าเว็บให้สวยงาม
ใส่เนื้อหาที่ยอดเยี่ยมลงไป

หรือแม้กระทั่งจ้างโปรแกรมเมอร์แพง ๆ มาใส่ลูกเล่นแปลก ๆ ให้กับหน้าเว็บ

แต่… เว็บก็ยังเงียบเหงาเหมือนเดิม

มีสิ่งหนึ่งที่หลายคนมองข้ามไป นั่นคือ
“การได้ทราฟฟิกจากระบบค้นหาชื่อดังเช่น Google, Yahoo ซึ่งมีีจำนวนผู้ใช้นับพันล้านคนต่อวันทั่วโลก”

แล้ว SEO คืออะไร??

SEO หรือ Search Engine Optimization คือส่วนที่จะมาช่วยเติมเต็มความสำเร็จให้กับเว็บของคุณ ด้วยการดึงผู้เข้า้เยี่ยมชมคุณภาพ ในปริมาณมาก มาจากระับบค้นหาชื่อดังต่าง ๆ อาทิ Google.com Yahoo.com และ MSN.com หรือ Live.com เหตุที่ผู้เข้าเยี่ยมชมเหล่านี้มีคุณภาพ เพราะผู้คนเหล่านี้ เข้ามาจากการค้นในคำที่ตรงกับธุรกิจที่คุณอยู่ นั่นหมายความว่า พวกเค้าค้นหาสิ่งที่คุณขาย ในเวลาที่เค้ามีความต้องการซื้อ และเมื่อพวกเค้าเจอเว็บของคุณซึ่งมีสิ่งที่เค้ากำลังต้องการในผลการค้นหา โอกาสที่จะแปลงผู้เข้าเยี่ยมชมเหล่านี้เป็นลูกค้ามีสูงมากกว่าคนธรรมดาที่ เข้าเยี่ยมชมเว็บโดยไม่มีเป้าหมายหรือความต้องการใด ๆ และมีความคุ้มค่าต่อการลงทุนต่อหน่วย สูงกว่าการหว่านโฆษณาตามสื่อใหญ่ ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ ซึ่งไม่สามารถเจาะจงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนเทียบเท่าักับการโฆษณาผ่านระบบ ค้นหา

ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนค้นหาคำว่า “โรงแรมเชียงใหม่” และเว็บของคุณเป็นเว็บโรงแรมในเชียงใหม่ หากมีคนค้นคำนี้เดือนละ 4-5,000 คน และเว็บคู่แข่งติดในหน้าแรกของผลการค้นหาแทนที่จะเป็นเว็บของคุณ คุณจะสูญเสียโอกาสในการได้ลูกค้าถึง 4-5,000 คนในทันที

โปรโมทเว็บด้วย SEO อย่างไร
1. ลูกค้าติดต่อเข้ามา แจ้งรายละเอียดงาน ที่อยู่เว็บไซต์ (ถ้ามี) และคำที่ต้องการให้ติดในหน้าแรก
2. Wittybuzz จะทำการวิเคราะห์หาคำที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณให้ โดยต้องเป็นทั้งคำที่ตรงเป้าหมาย และมีคนค้น และแจ้งคำที่ควรเล่นและระยะเวลาที่คาดว่าต้องใช้ในการทำกลับไป พร้อมใบเสนอราคา
3. ลูกค้าตกลงเรื่องราคา พร้อมจ่ายเงินตามเงื่อนไขที่ตกลง เป็นงวดแรก
4. Wittybuzz จะทำการโปรโมทเว็บ พร้อมมีรายงานแจ้งความคืบหน้าเป็นระยะทุกสัปดาห์
5. เว็บติดหน้าแรกในคำที่ตกลงกันไว้ จ่ายเงินตามงวดที่ตกลงกันไว้
6. ดูแลอันดับเว็บหลังติดแล้ว 3 เดือน แต่ระยะเวลารวมกันไม่เกินเวลาที่ตกลงกันไว้ เช่น ทำสัญญาไว้ 1 ปี เว็บติดหน้าแรกในเดือนที่ 10 ทางบริษัทก็จะดูแลอันดับให้จนครบสัญญา 1 ปีหรืออีก 2 เดือน เป็นต้น
7. หากต้องการให้ดูแลอันดับในปีถัดไป ทางบริษัทจะให้เงื่อนไขพิเศษสำหรับลูกค้าเก่า พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 50%

รับประกันการคืนเงิน 100%

เงื่อนไขการคืนเงิน
1. ทางบริษัทยินดีคืนเงินค่าบริการเต็มจำนวน หาก Keyword ดังกล่าว ไม่ติดอันดับใน 10 อันดับแรก ของ Search Engine
2. การวัดผลการคืนเงินนั้น จะวัดผลเมื่อ อยู่ในเดือนที่ 3 ถ้าหาก Keyword ดังกล่าวขึ้นก่อน 3 เดือนถือว่าเงื่อนไขสิ้นสุด
3. การวัดผล SEO จะยึด Search Engine คือ Google.co.th หรือ Google.com หน้าของประเทศไทยเป็นหลัก เนื่องจากในประเทศไทย มีผู้ใช้มากที่สุด
4. หลังจากที่ติดอันดับ Top 15 แล้ว บริษัทจะขอรับประกันอันดับของ Keyword ดังกล่าว เป็นระยะเวลา 3 เดือน

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


เรามาดูกันต่อจากคราวที่แล้วดีกว่าครับ กูเกิลเค้าบอกว่ามีประเด็นอะไรบ้างในการที่จะทำให้ Landing Page and Site มี Quality ได้มาตราฐานตาม Guidelines ของเค้า

ประเด็นแรกเค้าบอกว่า หน้าที่คุณทำการโฆษณานั้นจะต้องเกี่ยวข้องกับโฆษณา กล่าวคือ ผู้ใช้งานอินเตอร์เนตต้องสามารถหาสิ่งที่คุณโฆษณาไว้ได้อย่างสะดวกหลังจาก ที่เค้าคลิกโฆษณาคุณเข้าไปสู่หน้าที่คุณทำการโฆษณาไว้ และภายในหน้าที่คุณทำโฆษณาไว้ต้องให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ที่เกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์หรือบริการในปรากฏในโฆษณาของคุณ

ประเด็นที่สองเค้าบอกว่า เนื้อหาที่แสดงในหน้าที่คุณทำการโฆษณาไว้ต้องไม่ซ้ำกันเว็บไซต์อื่นและไม่ สามารถพบในเว็บไซต์อื่น (ต้องเป็น unique content นั่นเองครับ) และหน้าที่คุณทำการโฆษณาต้องไม่เป็นลักษณะ Bridge pages (Bridge pages คือ หน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงหรือส่งทราฟฟิคไปยังเว็บไซท์อื่นๆที่ไม่ ได้ทำการโฆษณาไว้) หรือ Mirror pages (Mirror pages คือ หน้าที่ทำซ้ำหรือทำคล้ายกับ parent site) ด้วยนะครับ

ประเด็นที่สามให้พวกเราสร้างความน่าเชื่อถือแก่ผู้ใช้งานอินเตอร์เนตโดยภาย ในหน้า Landing Page หรือเว็บไซต์ที่นำมาโฆษณานั้นต้องแสดงข้อมูลและลักษณะธุรกิจของคุณอย่างเปิดเผย ต้องซื่อสัตย์ต่อข้อเสนอที่คุณเสนอไว้ในโฆษณาของคุณ และให้บริการตามที่แสดงไว้ในโฆษณา ถ้าคุณมีการเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานอินเตอร์เนตคุณต้องมี privacy policy และเปิดเผยว่าจะนำข้อมูลส่วนตัวเหล่านั้นไปใช้งานอย่างไร และคุณต้องทำให้เว็บไซต์คุณใช้งานง่ายสามารถหาสิ่งที่ต้องการภายในเว็บไซต์ ได้ง่าย และเมื่อผู้ใช้งานอินเตอร์เนตคลิกโฆษณาเข้ามาแล้วถ้าต้องการซื้อทันทีคุณ ต้องมีช่องทางที่สะดวกและง่ายเพื่อให้บริการได้ทันที

นอกจากนี้แล้วหน้า Landing Page หรือเว็บไซต์ที่นำมาโฆษณาต้องเปิดเร็ว ไม่ช้า ไม่มี pop-ups, pop-unders แสดงโฆษณาออกมารบกวนผู้ใช้งาน และถ้าคุณต้องการปรับปุรงหน้า Landing Page หรือเว็บไซต์ที่นำมาโฆษณาแบบละเอียดคุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Google’s Webmaster Guidelines นะครับ สำหรับวันนี้เนื้อหาที่นำมาเสนอถ้าเพื่อนๆนำไปปรับปรุงหน้า Landing Page หรือเว็บไซต์ที่นำมาโฆษณาของเพื่อนๆ ก็คงจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาของเพื่อนๆลดลงและก็มีอันดับในการโฆษณาที่ สูงขึ้นกันได้นะครับ แล้วไว้ผมจะนำเสนอเรื่องราวหน้าสนใจเรื่องใหม่ๆในโอกาสหน้าอีกนะครับ

ที่มา : เอสแอลลิงค์บิทดอทคอม


สวัสดีครับเพื่อนๆทุกท่าน เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ได้นำสิ่งที่ได้อ่านกันไปใช้ประยุกต์ในการโฆษณากันบ้างมั๊ยครับ แล้วผลลัพท์เป็นอย่างไรกันบ้างครับ มาฝากข่าวความคืบหน้าหรือคำถามเพิ่มเติมกันได้ไว้ตลอดเวลานะครับ เอาละครับเ้ข้าสู่หัวข้อของวันนี้ดีกว่า วันนี้ผมจะมาพูดเรื่องของ Landing Page and Site Quality Guidelines ตามคำแนะนำของกูเกิลแอดเวิร์ดกันครับ

ทางทีมงานของกูเกิลแอดเวิร์ดเค้าบอกมาว่า เค้าต้องการให้แอดเวิร์ดเป็นบริการโฆษณาที่ยอดเยี่ยมและสร้างประสบการณ์ที่ ดีให้แก่ผู้ใช้งานอินเตอร์เนตในการค้นหาสินค้าหรือบริการผ่านกูเกิลและระบบ โฆษณาของกูเกิลเค้าเลยต้องการให้คนที่ทำการโฆษณาผ่านเค้าร่วมกันสร้างหน้า Landing Page หรือเว็บไซต์ที่นำมาโฆษณาให้ได้คุณภาพเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ ใช้งานอินเตอร์เนตและอีกมุมหนึ่งก็เป็นการเพิ่ม conversion rate ให้กับผู้โฆษณาอย่างพวกเราอีกทางด้วยครับ

และนอกจากนั้นทางทีมงานกูเกิลบอกไว้อีกว่าถ้าเราทำ Landing Page and Site Quality ตามคำแนะนำของเค้าแล้วจะทำให้ Quality Score ของคีย์เวิร์ดโดยรวมดีขึ้นซึ่งจะส่งผล 3 ประการต่อบัญชี Adwords ของเราคือ

1. เราจะเสียค่าโฆษณาต่อ keyword ลดลง (ค่า CPCลดลง)
2. ช่วยเพิ่ม keyword-targeted ads’ position ในการโฆษณาแบบ content network
3. ช่วยเพิ่มโอกาสการแสดงโฆษณาในการโฆษณาแบบ targeted placements

เดี๋ยวเรามาต่อคราวหน้ากันน่ะครับ

ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม


เป็นเวลาหลายปีแล้วนับแต่การถือกำเนิดของระบบค้นหากูเกิ้ล (Google.com) ในวันที่ 4 กันยายน 1998 ที่ยาฮู (Yahoo.com) ซึ่งเคยเป็นระบบค้นหาอันดับหนึ่ง พยายามวิ่งไล่ให้ทัน แต่ก็ไม่เคยทำได้จนถึงปัจจุบัน อะไรคือสาเหตุที่ทำให้Yahoo ไม่มีวันชนะในเกมส์นี้

ทุกสิ่งมันเริ่มต้นมาจากการกำเนิดของทั้ง 2 ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

1. ขณะที่ Yahoo ทำรายได้มหาศาล จากการขายเนื้อที่โฆษณาแบนเนอร์บนหน้าแรกของตนเองนับล้าน ๆ เหรียญ Google กลับเลือกที่จะแสดงหน้าขาวโล่ง ๆ ที่มีเพียงโลโก้ จุดใส่ข้อความ กับปุ่มกดเพื่อค้นหาเท่านั้น แม้จะเสียรายได้นั้นไป แต่สิ่งที่ Google ได้กลับมาซึ่งประเมินค่าไม่ได้คือ ความเชื่อถือของผู้คนที่มีต่อ Google ซึ่งไม่ได้มาเพื่อยัดเยียดโฆษณาแน่น ๆ เพียงอย่างเดียว

2. ในอดีต ขณะที่ Yahoo ใช้การจัดการเนื้อหาด้วยคน Google กลับใช้ตัวเก็บเว็บแบบแมงมุม (Spider / Web Crawlers / Bot) ในการเก็บข้อมูล แม้ในระยะแรก Google Bots จะไม่ฉลาด โดนหลอกง่ายก็ตาม แต่ต่อมากลับพบว่า การเก็บข้อมูลของ Google นั้น เร็วกว่า แม่นยำกว่า และ ต้นทุนต่ำกว่ามาก เมื่อเทียบกับการใช้คนนับหมื่น ๆ คนในการจัดการเนื้อหาทั้งหมดของ Yahoo

3. ขณะที่ Google มีนวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ สิ่งที่ Yahoo ทำได้คือ เป็นผู้ตามที่ดีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Adword, Adsense, Gmail, Google webmaster tool, Google Analytic และอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่ง Yahoo ได้แต่ทำตามหลังออกมาตลอด

ตราบใดที่ Yahoo ไม่เปลี่ยนโมเดลธุรกิจที่เป็นอยู่ และ ไม่สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่คำนึงถึงผู้ใช้งานเป็นหลัก คงยากที่จะตามกูเกิ้ลได้ทันในเร็ววันนี้

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


สวัสดีครับ วันนี้ผมขอนำเสนอบทความเรื่อง seo สำหรับธุรกิจขนาดกลางถึงธุรกิจขนาดย่อม (SME) นะครับ ซึ่งเราจะมาดูกันว่าจะนำ seo มาประยุกต์อย่างไรได้บ้าง ก่อนอื่นต้องรู้ถึงเป้าหมายของการทำ seo ก่อนเลย ซึ่งเป้าหมายหลักของ seo คือ การทำให้ คีย์เวิร์ดเป้าหมาย (target keyword) ของเว็บไซต์ของเรามีตำแหน่งสูงขึ้นและติดอยู่ในผลการค้นหาหน้าแรกเวลาที่ผู้ ใช้อินเตอร์เนตค้นหาผ่าน Search Engine นะครับ ซึ่งเราสามารถนำมาใช้ในการสื่อสารข้อความทางการตลาดของธุรกิจของเราออกไปได้ ด้วยการทำ seo นะครับ seo เป็นวิธีการที่มีคุณภาพในการเพิ่มความรู้จักให้กับเว็บไซต์ของเราด้วยคีย์เวิร์ดต่างๆผ่านเซิร์สเอ็นจิ้น seo ครับ โดยข้อดีของการทำ seo สำหรับธุรกิจ SME มีดังนี้

1. ช่วยขยายธุรกิจ SME ระดับท้องถิ่นไปยังเวทีโลกผ่านเซิร์สเอ็นจิ้นด้วยค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยมาก

2. เป็นการโฆษณาเว็บไซต์ของคุณออกไปสู่ทั่วโลกและเป็นการสร้างแบรนด์ของคุณให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น

3. มีผู้เข้าชมเว็บไซท์เพิ่มมากขึ้นจากคีย์เวิร์ดเป้าหมายที่หลากหลาย ซึ่งเพิ่มโอกาสในการขายสินค้าหรือบริการของธุรกิจของคุณ

ที่มา : เอสแอลคลิกบิทดอทคอม


อายุของเว็บไซต์และโดเมน เป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่งในการทำ SEO โดยอายุของเว็บเริ่มนับจากวันแรกที่โดนบอทเข้ามาเก็บ ไม่ได้นับจากวันที่เว็บขึ้นวันแรก สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ระหว่างที่เวลาผ่านไปเรื่อย ๆ นั้น การสร้างโปรไฟล์ของเว็บเป็นสิ่งสำคัญ

โปรไฟล์ที่ว่าคือ ความสม่ำเสมอของตัวเว็บ เช่น เราได้มีการหาลิ้งค์เพิ่มเข้ามาอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ เราได้มีการอัพเดตเนื้อหาบ้างหรือไม่ ได้มีการเพิ่มเนื้อหาใหม่ ๆ บ้างหรือไม่ การเพิ่มเนื้อหาใหม่อย่างสม่ำเสมอเป็นปัจจัยสำคัญอันหนึ่ง เพราะนอกจากเว็บจะไม่ตายแล้ว เนื้อหาที่เพิ่มขึ้นไปสามารถครอบคลุมคำอื่น ๆ นอกเหนือจากที่เราเล่นอยู่บนหน้าหลักของเรา เนื้อหาเหล่านี้บ่อยครั้งโดยค้นเจอจากคำที่คาดไม่ถึงมาก่อน แต่ทำเงินให้เราได้

ตัวอย่างคือ ถ้าเว็บ 2 เว็บผ่านไป 1 ปีเหมือนกัน มีการหาลิ้งค์ในจำนวนที่เท่ากัน มีจำนวนเนื้อหาที่เท่ากัน แต่เว็บหนึ่งการอัพเดตเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา กับอีกเว็บหนึ่งมีเนื้่อหาเท่าเว็บแรกแต่เอาเนื้อหาทั้งหมดมาลงทีเดียวภายใน 3 วันสุดท้ายของรอบปี เพียงแค่นี้ 2 เว็บนี้ก็จะมีความแตกต่างในสายตาของระบบค้นหา Google, Yahoo, MSN แล้ว โดยเว็บแรกจะมีน้ำหนักมากกว่า เพราะมีความสม่ำเสมอในการสร้างโปรไฟล์ของเว็บขึ้นมา ขณะที่เว็บที่สองจะเหมือนเป็นสแปม เพราะอยู่ ๆ การที่เนื้อหาเพิ่มครั้งละเป็นพันหน้าหมื่นหน้าในระยะเวลาสั้น ๆ นั้น เป็นเรื่องที่ผิดปกติแน่นอน และดูเหมือนเนื้อหาที่มีการสร้างโดยโปรแกรมมากกว่าคนเขียน แม้ว่าจริง ๆ จะเป็นเนื้อหาที่เขียนโดยคนก็ตาม

ถ้า่ผ่านไปอีกหนึ่งปี เว็บแรกซึ่งมีการอัพเดตตลอดเวลาต่อเนื่องถึงปีที่ 2 ก็จะมีน้ำหนักมากขึ้น ขณะที่เว็บที่สองผ่านไปสองปีเหมือนกัน แต่น้ำหนักสู้เว็บแรกไม่ได้ เนื้อหาแบบเดียวกันเมื่ออยู่ภายใต้เว็บแรกกลับโชว์หน้าหนึ่งใน Google ขณะที่เนื้อหาแบบเดียวกันไปอยู่ภายใต้เว็บที่สองแต่กลับไม่ติดท็อป 100 เลย

การทำ SEO แบบหมวกขาวนั้น เหนื่อยกว่า ใช้เวลามากกว่า เปลืองเงินกว่า แต่เมื่อได้อันดับที่ต้องการแล้ว ผลที่ได้ก็จะยืนยาวกว่า มั่นคงกว่าและปลอดภัยกว่าเช่นกัน

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


หลายคนทราบดีว่าการโปรโมทเว็บให้ติดหน้าแรกในระบบค้นหาหรือเสิร์ชเอ็นจิ้น Google, Yahoo และ MSN นั้นมีประโยชน์อย่างไร และหลายคนก็คงทราบดีเช่นกันว่า ปัจจัยหนึ่งในการทำ SEO ที่ขาดไม่ได้เลย คือการหาลิ้งค์คุณภาพ (Quality Link) เข้ามาที่เว็บอย่างสม่ำเสมอ ปัญหาคือ อะไรล่ะคือความหมายของคำว่า ลิ้งค์คุณภาพ

1. ลิ้งค์จากเว็บที่มีความเกี่ยวข้องกัน - เช่น เว็บเกี่ยวกับรถยนต์ก็ควรมีลิ้งค์มาจากเว็บที่เกี่ยวรถยนต์หรือใกล้เคียง ถ้ามีลิ้งค์มาจากเว็บหาคู่ หรือร้านขายยา ไม่ปกติแน่นอน อย่างแรกที่ทุกคนมองข้ามไปเวลาหาลิ้งค์คือลิ้งค์ที่มาจากเว็บซึ่งมีเนื้อหา ใกล้เคียงกัน หลายคนขอให้ได้ลิ้งค์มาก่อนไม่ว่าจะเป็นจากที่ไหนก็ตาม ซึ่งไ่ม่ถูกต้องซะทีเดียว การมีลิ้งค์ที่ไม่เกี่ยวข้องจำนวนมากในช่วงแรกจะช่วยเพิ่มอันดับเว็บของเว็บ ให้สูงขึ้น ก่อนที่จะตกลงในภายหลัง ดังนั้น การทำลิ้งค์แบบนั้นจึงไม่ใช่ทางออกในระยะยาวแน่นอน

2. ลิ้งค์ที่มีที่มาจากหลายแหล่ง - มีความแตกต่างแน่นอน ระหว่างลิ้งค์ที่มาจากเว็บเดีัยวกัน 10 อัน กับลิ้งค์ที่มาจาก 10 เว็บ เว็บละ 1 อัน แบบหลังลิ้งค์ที่มาแต่ละอันจะมีน้ำหนักมากกว่าแบบแรก แต่ให้ยึดหลักตามข้อ 1 ด้วย

3. ลิ้งค์ที่ไม่ได้สแปมหรือสร้างขึ้นมาเอง - ลิ้งค์พวกนี้ได้แก่ลิ้งค์จากการไปสแปมบล็อก หรือจากการสร้างเครือข่ายบล็อกของตนเองขึ้นมา แล้วลิ้งค์กลับมาหาเว็บหลัก วิธีนี้อาจใช้ได้ผลเมื่อหลายปีก่อนแต่ปัจจุบันใช้ไม่ได้ผลแล้ว

4. ลิ้งค์ที่มาจากหน้าที่มีเนื้อหาคุณภาพ - ระบบค้นหาใหญ่ ๆ อาทิ Google, Yahoo สามารถกรองคุณภาพเนื้อหาบนเว็บได้แบบคร่าว ๆ โดยอาศัยการจับตามหลักไวยกรณ์ แกรมม่า หน้่าที่มีเนื้่อหาสแปม เช่น ใช้คำซ้ำ ๆ กันโดยไม่มีเหตุผล จะถูกกรองออกไป หรือโดนลดคะแนนลง ระบบนี้ทำงานกับภาษาอังกฤษได้ดี ส่วนในอนาคตคาดว่าภาษาอื่น ๆ ก็จะถูกนำมาใช้เช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงไม่ควรมีลิ้งค์มาจากหน้าที่มีเืนื้อหาสแปมเพราะนอกจากจะไม่ช่วย ให้เว็บมีอันดับที่ดีขึ้นแล้ว อาจทำให้แย่ลงได้อีกด้วย

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


เราทุกคนในที่นี้ คงทราบกันเป็นอย่างดีแล้วว่า Google คือ search engine อันดับ 1 ของโลก ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก วัน ๆ หนึ่งผู้ใช้อินเตอร์เน็ต จะใช้บริการของ Google Search บ้าง Google Products บ้าง และ พูดคุยกันในฟอรั่ม หรือ เว็บบอร์ด เกี่ยวกับ Google ไม่ต่ำกว่า 30 ล้านคน

ดังนั้น การที่จะทำให้เว็บไซต์ index ใน Google นั้น ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การที่จะทำให้เว็บติด search หน้าแรก ๆ หรือ อันดับสูง ๆ ของ keywords เฉพาะใน Google Search นั้น นับเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่า

สำหรับเว็บไซต์ที่ทีมงาน Wittybuzz ดูแลอยู่นั้น 92% ของ web traffic จะมาจาก direct hits ผ่าน Google Search

ดังนั้น จึงอยากนำเสนอ SEO basics บางอย่าง ซึ่งเป็นเทคนิคจำเป็นสำหรับการทำ search engine optimization ซึ่งทีมงาน Wittybuzz ใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อทำการ optimize เว็บไซต์ของเรา รวมถึงเว็บไซต์ของลูกค้า เพื่อรักษาอันดับเว็บไซต์ดังกล่าว ให้ติด search ในหน้าแรก ๆ ของ Google Search และ อันดับดีกว่าเว็บไซต์ของคู่แข่ง

เทคนิคการทำ Google SEO ที่สำคัญ 4 ข้อที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของเราติด ranking ที่ดีกว่าเว็บไซต์ของคู่แข่ง ของผลการค้นหาใน Google Search นั้น ได้แก่

1.) ควรเลือกใช้ keywords ให้ตรงกับเว็บไซต์ หรือ web page แต่ละหน้าให้มากที่สุด
การเลือกใช้ keywords ให้ตรงกับ web page เป็นหลักสำคัญสุด สำหรับการทำ web page ให้ติดอันดับต้น ๆ ของ main keyword ซึ่งเป็นคำทั่ว ๆ ไปนั้น ยากกว่า การใช้ keyphrase ซึ่งเป็นการเอา main keyword มารวมกับคำอื่น เป็นคำผสม (Compound Words) ขึ้นมา กลายเป็นวลีสำคัญ (keyphrase) ที่มีความหมาย ยกตัวอย่าง เช่น จะเป็นการยากที่เราจะเน้นโปรโมตเว็บไซต์ ด้วยคำว่า SEO เฉย ๆ ซึ่งมีคู่แข่งใน Google Search อยู่ตอนนี้ 241,000,000 web pages ซึ่ง SEO ทั่วโลก ที่เปิดให้บริการทั่วโลก แข่งขันกันอย่างหนัก ซึ่งเราให้บริการแค่อยู่ในไทย ก็ไม่เอาควรเอาไม้ซี่ไปงัดไม้ซุง ดังนั้น เราควรจะเน้นที่คำว่า Thai SEO หรือ Thailand SEO ซึ่ง มีคู่แข่งอยู่ไม่กี่ web pages เอง และ เป็นอะไรที่ตรงตัวกับเราที่สุด รวมทั้งเพิ่มโอกาสทางธุรกิจออนไลน์ ให้เราขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดเจน

2.) ควรใส่ keywords ใน URL และส่วน Title Tag อย่างเหมาะสม
ปัจจัยสำคัญ ที่เป็นตัวกำหนด ranking ใน Google Search นั้น ได้แก่ โดเมนเนม และ title tag กล่าวคือ การจดแบบเอา keywords มาเป็น domain name จะได้รับการจัด ranking ใน Google Search ของ keywords นั้น ๆ ได้ดีกว่า เอาชื่อบริษัทมาจดโดเมนเนม แต่ข้อดีของการเอาชื่อบริษัท มาตั้งเป็น domain name ก็คือ การสร้าง brand name ให้กับสินค้า และ บริการของบริษัทของเราเอง ได้ดีกว่า การเน้นเอา keywords มาเป็น domain name

ส่วน title tag ก็สำคัญไม่แพ้ domain name ของเราเลย เพราะถ้าเราใช้ keywords ในส่วน title tag ของแต่ละ webpage ได้อย่างแยบยล โอกาสที่จะได้รับการจัดอันดับ ranking ใน Google Search ก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

ดังนั้น เมื่อเรา search Google แล้ว เราจะเห็นส่วนมาก ผล search ที่ได้ จะมี hilight ที่ link แทบทุกตัว ซึ่งส่วนที่ Google ดึงมาเป็น link ของผล search ที่ว่านั้น เอามาจาก title tag ดังกล่าว มีน้อยมากที่จะเอาจากส่วนที่อยู่ใน body content เว้นเสียแต่ว่าเว็บไซต์ หรือ บริษัทนั้น จะดังจริง ๆ หรือ ใช้งบโฆษณาตัวเองสูง

3.) ควรให้ความสำคัญกับ Keyword Density
Keyword Density คือ ปริมาณความหนาแน่นของ Keyword นั่นเอง ใน content หรือ webpage หนึ่ง ๆ จะมีคำอยู่มากมาย แต่ Search Engine Bots หรือ Spiders จะตัดคำบางคำทิ้งไป เช่น a, an, the, is, am, are, was, were, been เป็นต้น เพราะน้อยมาก ที่คนจะใช้คำเหล่านี้ เป็น keywords หลัก search หาข้อมูลส่วนคำที่เหลือ จะถูกนำมาค้นหาคำซ้ำซ้อนกัน โดยมักจะแบ่งเป็น

- คำเดียวโดด ๆ (Single Word) เช่น website, designer, SEO เป็นต้น
- สองคำ (Two Words) เช่น website promotion, website designer, Thai SEO เป็นต้น
- สามคำขึ้นไป (Multiple Words) เช่น Thai website promotion, Thai website designer, Professional Thai SEO เป็นต้น

คำที่ได้ ในแต่ละกลุ่ม จะถูกนำมาคำนวณป็นค่าคะแนน keyword desity ซึ่งจะเป็นการเทียบอัตราส่วนความสำคัญของคำ ที่มีอยู่ในเนื้อหา และ keywords สำคัญ ๆ ที่เราต้องการสื่อให้เห็นถึง ค่าความหนาแน่นของ keywords ซึ่งค่า keyword density ควรอยู่ระหว่าง 7% ถึง 10% ของแต่ละ web page

ไม่ควรเล่นเทคนิค keyword density มากเกินไป เพราะกลายเป็น keyword stuffing ถ้าเน้นการใส่ keywords สำคัญ ๆ จำนวนมาก แต่ยังไงเสีย keyword density นี่แหละ เป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้ามเลย

4.) ควรมี back links คุณภาพ ลิงค์มายังเว็บไซต์ของเราเป็นจำนวนมาก
Back links คือ เว็บไซต์ที่ลิงค์มายังเว็บไซต์ของเราโดยตรง ไม่ใช่พวกที่แอบใส่โค๊ดที่URL แล้ว redirect link ก่อนค่อยจะเข้าถึงเว็บไซต์ของเรา พูดง่าย ๆ ว่า เมื่อ web paage ใด ๆ มี back links เยอะ ๆ web page นั้น ๆ ก็จะได้รับ ranking ที่สูงขึ้นกว่า web page ที่มี back links น้อยกว่า

ดังนั้น หัวใจของการมี ranking สูง ๆ ก็คือ การมี back links คุณภาพเยอะ ๆ นั่นเอง

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม


ในการปั้นเว็บให้ติดอันดับใน Search Engines ชื่อดังต่าง ๆ อาทิ Google Yahoo และ Live/MSN นั้น ผมเชื่อว่าทุกคนก็อยากที่จะให้เว็บของตนติดอันดับที่ดีทั้ง 3 ที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเรื่องที่ยาก โดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งอัลกอริธึมของทุกเจ้ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง วันนี้ผมจึงมีข้อเสนอแนะ 3 ข้อดี ๆ มาให้เพื่อน ๆ ได้ลองอ่านกันคัรบ

1. ถ้าติดหมดไม่ได้ ให้เลือกอันที่ดีที่สุดอันเดียว แล้วโฟกัสไปที่ตรงนั้น
เพราะอัตราการใช้งานไม่เท่ากัน อันดับ 1 ยังคงเป็น Google เช่นเดิมและผมแนะนำให้อิง Google เป็นหลักเช่นกัน เหตุผลเพราะในหลายคำนั้น ติดอันดับ 1 ใน Yahoo และ Live/MSN รวมกันยังไม่เทียบเท่าติด 1 ใน 10 อันดับแรกใน Google ด้วยซ้ำ

2. จำนวนของลิ้งค์ไม่ใช่คำตอบของทุกอย่าง คุณภาพสำคัญยิ่งกว่า
เราทุกคนต่างรู้ว่าลิ้งค์เป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลต่ออันดับเว็บคุณใน Google, Yahoo และ Live/MSN แต่เพื่อให้อันดับเว็บของคุณยั่งยืน ไม่ตกแม้ว่าอัลกอริธึมจะเปลี่ยนไป ผมแนะนำให้คุณหาเฉพาะลิ้งค์คุณภาพเท่านั้น ลิ้งค์ต่อไปนี้ควรหลีกเลี่ยง

- ลิ้งค์ที่มาจากเนื้อหาซ้ำ ๆ กันภายใต้ซับโดเมนหลาย ๆ อันบนโดเมนหลักอันเดียวกัน
- ลิ้งค์ที่มาจากหน้าที่มีแต่ลิ้งค์เยอะ ๆ อย่างเดียว ไม่มีเนื้อหาใด ๆ เลย
- ลิ้งค์ที่ได้มาฟรีจาก Spam Network เช่น ลิ้งค์ฟาร์ม เว็บริง (Web Ring)

3. โฟกัสที่คุณภาพของเนื้อหาควบคู่กันไปด้วย
ในปัจจุบันเสิร์ชเอ็นจิ้นได้พยายามที่จะคัดกรองคุณภาพของเนื้อหาที่ปรากฎบน เว็บเพื่อกำจัดเนื้อหาที่ซ้ำ ๆ กันในอินเด็กซ์ของตนเอง เนื้อหาที่เขียนขึ้นมาโดยอาศัยวิธีปั่นเยอะ ๆ หรือใช้โปรแกรมเขียนจะถูกกรองออก ส่วนเนื้อหาที่มีคุณภาพ (ไม่ซ้ำ, แกรมม่าไม่เพี้ยน, ไม่ใช้คำซ้ำ ๆ จนผิดสังเกต) จะถูกนำมาแสดงผลมากขึ้น ถ้าอยากให้อันดับเว็บของคุณมั่นคง การนำเสนอเนื้อหาที่มีคุณภาพคือเรื่องสำคัญ ซึ่งจะเป็นแนวโน้มต่อไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อ Google เข้าใจภาษาไทยได้มากขึ้นแล้ว เว็บที่ใช้วิธีสแปมทั้งหลายในปัจจุบันก็จะถูกกรองออกไปจำนวนมากเช่นกัน

ที่มา : คลิกบีเคเคดอทคอม

Newer Posts Older Posts Home